กาแฟในมือทุกเช้ามีที่มาที่น่าสนใจเสมอ ตั้งแต่เริ่มต้นจากเมล็ดพันธุ์ มือที่เก็บเกี่ยว เทคนิคการคั่วและชง จนมาเป็นของเหลวสีน้ำตาลในแก้ว แต่เบื้องหลังที่น่าเป็นห่วงในตอนนี้คือ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลอย่างมากต่อผลิตผลต้นทาง นั่นคือเมล็ดกาแฟ ที่ทำให้กาแฟแก้วนี้ชวนให้เราตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
เราชวนมองภาพกว้างก่อนที่ตลาดกาแฟระดับโลก แหล่งพื้นที่ที่ปลูกกาแฟมีชื่อเรียกว่า Coffee Belt เรียกง่ายๆ ก็เหมือนเข็มขัดที่ล้อมรอบโลกของเราไว้อยู่ นั่นก็คือประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรของโลกที่มีภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการปลูกกาแฟ ซึ่งก็รวมถึงบ้านเราด้วย
และแน่นอนว่า ปัญหา Climate Change หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศส่งผลโดยตรงกับผลิตผลทางการเกษตร กับกาแฟก็เช่นเดียวกัน เพราะอุณหภูมิอากาศที่สูงขึ้นราวๆ 1.5 องศาเซลเซียส หรืออาจจะถึง 4.5 องศาเซลเซียสในเดือนที่ร้อนที่สุด ทำให้มีการพยากรณ์ว่าพื้นที่ที่เหมาะสมกับการปลูกกาแฟจะลดลงถึง 50% ภายในปี 2050 จนส่งผลให้แนวโน้มตลาดกาแฟโลกกำลังเดินทางมาถึงจุดที่อุปสงค์มากกว่าอุปทาน
ถึงเวลาแล้วที่เกษตรกรและบุคลากรในแวดวงจึงต้องหันมาร่วมกันลงมือลงแรงในการบรรเทาปัญหานี้ไปด้วยกัน ตั้งแต่การทำเกษตรที่รักษ์โลกและใส่ใจพื้นที่ปลูกมากขึ้นกว่าเดิม ไปจนถึงกระบวนการผลิตที่สร้างสรรค์ เพื่อโลกและเพื่อเราทุกคน
เกษตรรักษ์โลก และความยั่งยืนทางอาหาร
สำหรับวงการกาแฟ รูปแบบการทำเกษตรเพื่อความยั่งยืนก็มีหลากหลายวิธีซึ่งถึงแม้จะแตกต่างกันในรายละเอียด แต่ทั้งหมดเดินทางด้วยกุศโลบายเดียวกันคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างสิ่งแวดล้อมกับการเกษตร เพื่อส่งต่อสู่โลกที่ยืนยาวในอนาคต
เช่นเดียวกันกับแคมเปญ “9 กาแฟดริปรักษ์โลกพันธุ์ไทย” กับนักสร้างสรรค์กาแฟชั้นนำระดับประเทศทั้ง 9 ที่ครีเอทระบบนิเวศของวงการกาแฟตั้งแต่ผืนดินที่ต้นกล้ากาแฟงอกงาม พร้อมกันกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านองค์ความรู้และอาชีพ ส่งต่อเป็นกาแฟรสชาติดีคุณภาพเยี่ยมให้กับผู้บริโภคปลายทาง
นักสร้างสรรค์กาแฟต่างก็มีแนวทางของการทำงานด้วยความรักในวิธีการที่หลากหลาย เริ่มต้นตั้งแต่ที่แปลงปลูก อย่างการเกษตรเชิงฟื้นฟู ด้วยการปลูกกาแฟต้นใหม่ให้อยู่ร่วมกับพืชพรรณดั้งเดิมของท้องถิ่น สร้างให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพให้กับพื้นที่เพาะปลูก พร้อมกันกับการช่วยดูดซับคาร์บอน วิธีนี้ช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้ำ ไปพร้อมกับการบริหารจัดการดินและธาตุอาหารให้พร้อมสำหรับการเพาะปลูกในวงรอบต่อๆ ไป
อีกวิธีการปลูกต้นกาแฟที่ได้ยินกันบ่อยๆ คือการปลูกกาแฟใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ถึงจะได้ผลผลิตช้าหน่อย แต่นับว่ายั่งยืนที่สุด เพราะระยะเวลาที่ยาวนานจะถูกใช้ในการสะสมแร่ธาตุต่างๆ จากหน้าดิน ทำให้ต้นกาแฟเจริญเติบโตได้ดี และได้ผลผลิตกาแฟที่มีคุณภาพสูง รวมทั้งร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นของหน้าดินและลดการเซาะหน้าดินไปในตัว
เกษตรอินทรีย์เป็นอีกวิธีที่แม้จะต้องเตรียมดินน้ำและสภาพแวดล้อมให้ปลอดจากสารเคมี แต่ก็นับว่าเป็นทางที่คุ้มค่าสำหรับคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค โดยปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จะมาจากเศษวัสดุเหลือทิ้งในฟาร์ม หรือแม้แต่การหมักเมล็ดกาแฟที่ใช้งานไม่ได้มาทำเป็นปุ๋ย ก็นับเป็นการหมุนเวียนชีวิตของเมล็ดกาแฟอย่างครบวงรอบไม่เหลือทิ้ง
เกษตรประณีตเป็นแนวทางการเกษตรอย่างยั่งยืนที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน เพราะเป็นวิธีการทำการเกษตรแบบเข้าใจธรรมชาติ ด้วยการนำองค์ความรู้และภูมิปัญญาในการจัดการพื้นที่ปลูกแม้จะเพียง 1 ไร่ แต่ก็สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง และหมุนเวียนตลอดทั้งปี ซึ่งต่างจากเกษตรเชิงเดี่ยวแบบเดิมที่เน้นการปลูกพืชชนิดเดียวให้ได้ผลผลิตและกำไรมากที่สุด
“9 กาแฟดริปรักษ์โลกพันธุ์ไทย” กับ 9 นักสร้างสรรค์กาแฟอนุรักษ์ท้องถิ่น
‘พันธุ์ไทย’ ชักชวนนักสร้างสรรค์กาแฟอนุรักษ์ท้องถิ่น 9 คน ที่ทำงานกาแฟด้วยความรักและแพชชั่นอย่างเปี่ยมล้น จนได้กาแฟรสชาติดีคุณภาพเยี่ยม พร้อมกันกับการพัฒนาชุมชนในทุกด้าน ตั้งแต่สิ่งแวดล้อมที่ยังคงดำรงผืนป่าเอาไว้ได้อย่างอุดมสมบูรณ์ และคุณภาพชีวิตของผู้คนที่ ‘อยู่ดี มีสุข’ ในถิ่นฐานบ้านเกิด โดยกาแฟเอ็กซ์คลูซีฟ 9 รสชาติจาก 9 นักสร้างสรรค์ ได้แก่
1. บ้านป่าเมี่ยง โดย คุณวัลลภ ปัสนานนท์ จาก จ.เชียงใหม่
2. บ้านแม่ตอนหลวง โดย คุณเอก สุวรรณโณ จาก จ.เชียงใหม่
3. บ้านมณีพฤกษ์ โดย คุณเคเลบ จอร์แดน จาก จ.น่าน
4. บ้านแม่ลาน้อย โดย คุณแดง ดูลาเปอร์ จาก จ.แม่ฮ่องสอน
5. กัลยาณิวัฒนา โดย คุณแสนชัย จูเปาะ จาก จ.เชียงใหม่
6. บ้านดอยผักกูด โดย คุณชาติชาย คะบู่ จาก จ.แม่ฮ่องสอน
7. บ้านท่าสองยาง โดย คุณเปา เลอตอโกลด์ จาก จ.ตาก
8. บ้านดอยช้าง โดย คุณอัคคเดช เปียวเชกู่ จาก จ.เชียงราย
9. บ้านมณีพฤกษ์ โดย คุณวิชัย กำเนิดมงคล จาก จ.น่าน
เริ่มตั้งแต่ต้นทางที่การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ วิธีการปลูก การดูแลรักษาจนได้ผลเชอรี่สุกที่เหมาะกับการเก็บเกี่ยว การคั่วหาโพรไฟล์ที่ดีที่สุด คัปปิ้งอย่างดี จนออกมาเป็นกาแฟดริปที่แฝงด้วยเอกลักษณ์ประจำตัวของนักสร้างสรรค์กาแฟแต่ละคน ก่อนส่งถึงมือผู้บริโภคผ่านการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ยังคงแนวทางของความรักโลกด้วยการใช้กระดาษรีไซเคิล 70% กับภาพวาดลายเส้นสีน้ำที่เป็นมิตรกับทุกคน พร้อมทุกคนได้เอ็นจอยกับกาแฟหอมกรุ่นได้ง่ายๆ ที่บ้านคุณ
‘9 กาแฟดริปรักษ์โลกพันธุ์ไทย’ มีให้เลือกทั้งหมด 2 แบบ คือ กาแฟดริปรักษ์โลกพันธุ์ไทย พรีเมียมเซต (Punthai Drip Coffee Premium Set) บรรจุกาแฟดริป 9 ซอง จาก 9 นักสร้างสรรค์กาแฟ พร้อมกาดริปและแก้วกาแฟ ราคา 1,899 บาท ที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทยสาขาที่ร่วมรายการ และ กาแฟดริปรักษ์โลกพันธุ์ไทย (Punthai Drip Coffee Box) บรรจุกาแฟดริป 9 ซอง จาก 9 นักสร้างสรรค์กาแฟ ราคา 325 บาท ที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทยทุกสาขาทั่วประเทศ วางจำหน่ายตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2567 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด
คอลเลกชันนี้เป็นคอลเลกชัน ลิมิเต็ด อิดิชัน เหมาะสำหรับคอกาแฟที่ชอบดื่มด่ำกาแฟพรีเมียมไปพร้อมสตอรี่ของนักสร้างสรรค์จาก 9 แหล่งที่มา หรือจะเป็นของขวัญให้กับคนที่คุณรักได้ทั้งในเทศกาลปีใหม่และในทุกโอกาส
นอกจากรสชาติละมุนลิ้น พันธุ์ไทยยังชวนฟังเสียงธรรมชาติละมุนหูผ่านทาง ‘9 SOUNDS FROM 9 FORESTS’ by PUNTHAI ที่สามารถรับฟัง 9 เสียงธรรมชาติ จาก 9 แหล่งปลูกกาแฟ ในรูปแบบ ASMR บน Spotify และ ‘DARK ROAST WALLPAPERS’ by PUNTHAI วอลเปเปอร์สีมืดที่ช่วยประหยัดพลังงานและรักษ์โลกได้ง่ายใกล้มือคุณ ทั้งสำหรับ Mobile และ Desktop
ให้ความรักษ์โลกอยู่ในจิตสำนึกและชีวิตประจำวันของทุกคนจากขอบแก้วถึงปลายนิ้ว ด้วยกาแฟที่คุณรักและเสียงธรรมชาติที่โอบล้อมเราอยู่เสมอ
อ่านเรื่องราวของทั้ง 9 คนได้ที่ https://www.punthaicoffee.com/blog