“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน” คำเตือนสั้นๆ ที่มีความหมายที่พวกเราทุกคนจะได้ยินกันมาตลอด
แต่ก็ยังมีนักลงทุนหลายท่านที่อาจจะยังตัดสินใจลงทุนผิดพลาด แน่นอนว่าการตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัยที่นักลงทุนต้องนำมาใช้ประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี หรือสภาวการณ์ของตลาด ล้วนมีความสำคัญทั้งหมด แต่ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุดแต่นักลงทุนหลายท่านอาจจะมองข้ามไปนั่นก็คือเรื่องของ ‘นิสัย’ ของเรานั่นเอง
วันนี้เราเลยอยากจะเชิญชวนทุกท่านให้มาลองทำความรู้จักกับนิสัยของนักลงทุน ทั้ง 6 แบบ 6 สไตล์ เพื่อที่เราจะได้นำมาวิเคราะห์ต่อว่าตัวเรานั้นเป็นอย่างไรและเหมาะกับการลงทุนแบบไหนมากที่สุด
1. จิตใจคงมั่น ไม่หวั่นแม้โดนหั่นเงินต้น
เรื่องของสภาพจิตใจและความพร้อมคือปัจจัยแรกที่นักลงทุนทุกคนจะต้องมี ในการที่จะเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของเงินต้นที่อาจจะหายไปได้ ซึ่งถ้าใครมีจิตใจที่เข้มแข็งสักหน่อย ไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ และพร้อมรับมือกับความเสี่ยงสูง ก็อาจจะเหมาะกับ ‘คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency)’ หรือสกุลเงินดิจิทัล ที่กำลังมาแรงสุดๆ ในตอนนี้ แต่ก็ต้องแลกมาซึ่งความเสี่ยงและความผันผวนที่สูงสุดเช่นกัน ลองนึกเล่นๆ ว่า ถ้าหากเราลงเงินซื้อเหรียญสักเหรียญหนึ่งในราคาที่ถือว่าค่อนข้างสูง แต่วันหนึ่งเหรียญนั้น ราคาตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เงินต้นที่วางลงไป มูลค่าหายไปเกินกว่าครึ่ง หรือเรียกง่ายๆ ว่า ติดดอย เราจะรู้สึกยังไง เราจะอดทนได้หรือไม่ เพื่อที่จะรอให้มูลค่าของเงินต้นนั้นกลับมายังจุดเดิมหรือสามารถสร้างกำไรได้อีกครั้ง ซึ่งการลงทุนแบบนี้จะเรียกว่าเป็นนักลงทุนก็ได้ไม่เต็มปาก เพราะนี่คือเส้นบางๆ ระหว่างการเป็นนักลงทุนกับนักเกร็งกำไรสายฮาร์ดคอร์ ที่คาดหวังจะกินส่วนต่างจากมูลค่าเหรียญที่เปลี่ยนไปในระยะสั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้ารู้ตัวแล้วว่าจิตใจยังไม่เข้มแข็งพอสำหรับสายนี้ แนะนำให้ถอยก่อนดีกว่า
2. กล้าแลก กล้าคิด ตามติดทุกสถานการณ์
สำหรับคนที่มีนิสัยกล้าแลก กล้าลุย แต่ยังจิตใจยังไม่เข้มแข็งเท่ากับนิสัยข้อแรก ลองลดดีกรีลงมา ด้วยการลงทุนใน ‘หุ้นรายตัว’ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการลงทุนสุดคลาสสิก ที่จะมีความเสี่ยงและมีความผันผวนตามสถานการณ์ของตลาด โดยมีเรื่องปัจจัยพื้นฐานหรือผลการดำเนินงานของบริษัท ที่เป็นตัวกำหนดราคาให้ขึ้นลงอยู่ หรือแม้ว่าจะมีรายใหญ่มาลากให้ราคาดีดตัวขึ้นสูงหรือปั่นหุ้น ก็ยังมี Ceiling หรือราคาสูงสุดคุมไว้ หรือราคาลงไปต่ำสุด ก็ยังมี Floor หรือราคาต่ำสุดของหุ้นตัวนั้นๆ คุมอยู่ ตามที่ ก.ล.ต. กำหนดไว้นั่นเอง เพราะฉะนั้นนอกจากการมีนิสัยกล้าแลก กล้าลุยแล้ว ก็จำเป็นต้องมีทักษะการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานติดตัวไว้ด้วย
3. ชอบความเร้าใจ เพื่อเกร็งกำไรในอนาคต
สำหรับใครที่เป็นสายนักเลง ชอบความเร้าใจ และมีเงินเย็นอยู่เต็มกระเป๋า ก็เหมาะกับการลงทุนใน ‘ตราสารอนุพันธ์’ หรือการเทรดค่าเงินหรือหุ้นที่มีสัญญาล่วงหน้า ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินมากมายให้เลือก ทั้ง Futures, Option, Forex ซึ่งแตกต่างกับการซื้อหุ้นทั่วไป คือจะต้องใช้เงินสดหรือ Cash Balance เท่ากับจำนวนที่จะซื้อจริง แต่สำหรับตราสารอนุพันธ์ จะเร้าใจกว่า เพราะสามารถเพิ่มอัตราทด (Leverage หรือ Gearing Ratio) ได้ หมายความว่าลงเงินจำนวนน้อยกว่า แต่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าตามอัตราที่กำหนดไว้ และแน่นอนว่า ถ้าหากขาดทุนก็ทดตามอัตราที่กำหนดไว้เช่นกัน ความเสี่ยงเรียกว่าสูงมากๆ เพราะมีโอกาสพอร์ตจะแตก หรือเงินที่ลงทุนไปอาจกลายเป็นศูนย์ได้เลยทีเดียว ถ้าใจไม่ถึงหรือยังไม่มีเงินเย็นพอ ก็อย่าเพิ่งไปเสี่ยงเลย
4. ใจเย็นดั่งสายน้ำ แต่ตามมาด้วยผลตอบแทนแน่นอน
เปลี่ยนโหมดจากสายใจถึง มาสู่สายใจเย็นบ้าง สำหรับใครที่มีเงินต้นมากสักหน่อย ไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนที่เยอะมาก และหวังกินดอกเบี้ยแบบชิลล์ๆ ก็น่าจะเหมาะกับ ‘หุ้นกู้’ หรือตราสารหนี้ ที่ออกโดยบริษัทต่างๆ มีจุดประสงค์เพื่อหาเงินมาใช้ลงทุนในกิจการเพิ่มเติม อธิบายอย่างง่ายๆ คือ เราที่ซื้อหุ้นกู้ไป มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทนั้นๆ โดยมีเรื่องของดอกเบี้ยที่จะได้รับตามอายุสัญญาที่ตกลงไว้ เช่น อายุสัญญา 3 ปี จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง เราก็จะได้รับผลตอบแทนตามที่ระบุไว้ รอไปยาวๆ เรียกว่าไม่มีความผันผวนเลย แต่ก็มีความเสี่ยงในเรื่องของการที่บริษัทที่ขายหุ้นกู้ อาจจะผิดนัดชำระดอกเบี้ยได้ เพราะฉะนั้น ควรจะเลือกซื้อหุ้นกู้จากบริษัทที่เชื่อถือได้ โดยการดูจากอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ที่ควรอยู่ในระดับ BBB- ขึ้นไป หรือถ้าใครไม่อยากเสี่ยงเลย การเลือกซื้อ พันธบัตรรัฐบาล ที่ดอกเบี้ยอาจจะน้อยหน่อย แต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ใจเย็นได้เช่นกัน
5. ได้น้อยหน่อยไม่เป็นไร แต่ขอให้เงินต้นยังปลอดภัยดี
สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาติดตามตลาดสักเท่าไร แต่ก็ยังอยากได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่า รับความเสี่ยงได้บ้าง น่าจะเหมาะกับ ‘กองทุนรวม’ ประเภทต่างๆ ที่เป็นการนำเงินของเราที่ลงไป แล้วปล่อยให้ผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญนำเงินไปจัดสรรลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ ทั้งในและต่างประเทศ แล้วแต่พอร์ตของกองทุนที่กำหนดไว้ ซึ่งผลตอบแทนอาจจะไม่ได้สูงมากนัก เมื่อเทียบกับการเลือกสินทรัพย์ลงทุนด้วยตัวเอง แต่ความเสี่ยงต้องบอกว่าน้อยกว่า เพราะขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในช่วงนั้น จึงเหมาะกับการซื้อทิ้งไว้แล้วถือยาวๆ และที่สำคัญคือความคุ้มค่าในการนำมูลค่าที่ซื้อ ไปลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลความคุ้มค่าหลักๆ ที่หลายคนเลือกซื้อกองทุนรวมก็ว่าได้
6. ถือทรัพย์สินที่เพิ่มมูลค่า เพื่อมองหาผลตอบแทนระยะยาว
สำหรับนักลงทุนที่มีกำลังมองหาโอกาสในการลงทุนที่จะทำให้ท่านสบายทั้งกายและใจไม่ต่างจากการเป็นเสือนอนกิน อยากให้ลองมาทำความรู้จักกับกอง REIT ที่ย่อมาจาก Real Estate Investment Trust หรือ กองทรัสต์ หรือ ‘ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์’ อีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่กำลังมาแรงในยุคนี้ โดยมีผู้จัดการกองทรัสต์ในฐานะผู้ก่อตั้งทรัสต์ ที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์มาช่วยดูแลให้ ซึ่งกอง REIT เป็นหนึ่งในรูปแบบของกองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ได้รับทั้งผลตอบแทนจากค่าเช่าและจากมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นทุกๆ ปี และมีสภาพคล่องมากกว่า เพราะสามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้นั่นเอง
กอง REIT ความเสี่ยงต่ำ แต่ทำผลตอบแทนแบบมั่นคง
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นรูปแบบการลงทุนที่ได้รับความนิยมมาทุกยุค เพราะสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ที่มูลค่าสูงขึ้นตามกาลเวลา มีโอกาสเก็บค่าเช่าได้แบบยาวๆ แต่ข้อเสียคือต้องใช้เงินลงทุนมาก และใช้ระยะเวลานานกว่าจะคืนเงินต้นกลับมาได้ แต่สำหรับ กอง REIT จะบริหารโดยผู้จัดการกองทรัสต์ โดยนำเงินลงทุนของเรา ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ประเภท ศูนย์การค้า, โรงงาน, คลังสินค้า, สนามบิน, คอนโดมิเนียม, อาคารสำนักงาน, โรงแรม, หรือคอมมูนิตี้มอลล์ต่างๆ ทั้งการซื้อขายสิทธิ์ขาด (Freehold) และเช่าถือครองระยะยาว (Leasehold) แล้วนำมาบริหารจัดเอง หรือนำไปปล่อยเช่าต่อ ซึ่งรายได้จากการเข้าลงทุนจะมาจากรายได้ค่าเช่าพื้นที่ ค่าบริการ และผลประกอบการหรือรายได้จากการลงทุนนั้น นำมาจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นนั้นเอง อีกทั้งยังมีโอกาสได้รับ Capital Gain หรือส่วนต่างกำไรของมูลค่าหุ้นที่ได้จากการขายต่อในระยะยาวอีกด้วย เรียกว่าความเสี่ยงต่ำ แต่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ แถมยังได้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ
ALLY REIT ทางเลือกสุดแฟร์ รับกระแสเทรนด์ ‘เปิดเมือง’
ในบรรดากอง REIT มากมายที่มีให้ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ อยากแนะนำให้รู้จักกับ ‘ALLY REIT ที่ IPO เมื่อปลายปี 2019 แต่ผลงานต้องบอกว่าไม่ธรรมดา เพราะมีอัตราการเติบโตของทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ในสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าตลาดอสังหาฯ หรือหลายๆ ธุรกิจจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่ในช่วงไตรมาส 1/2565 ALLY REIT สามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราประมาณ 9.5% ณ ราคาตลาด เห็นได้ว่าถึงแม้จะเจอวิกฤต แต่ที่สำคัญคือเงินปันผลดี และราคายังมีโอกาสเติบโตได้สูงขึ้นในระยะยาวอีกด้วย นอกจากนี้แล้ว จากสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีการผ่อนคลายมาตราการต่างๆ มากขึ้นแล้ว LifeStyle Mall ยังถือได้ว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่ฟื้นตัวและมีอัตราการเติบโตอย่างโดดเด่น บนสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่อาจจะยังส่งผลให้ผู้บริโภคยังชะลอการตัดสินใจอยู่ ต่างจากธุรกิจห้างสรรพสินค้าที่เหมือนเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิตทุกคนไปแล้ว
ALLY REIT กับพอร์ตการลงทุนที่มีอัตราเติบโตสูง
สำหรับสัดส่วนการลงทุนของ ALLY REIT จะเน้นการลงทุนในคอมมูนิตี้มอลล์ที่มีอัตราการเติบโตสูง โดยปัจจุบันมี 13 โครงการ อย่างเช่น คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์, เดอะคริสตัล เอกมัย-รามอินทรา, แอมพาร์ค จุฬา, สัมมากร เพลส, เดอะ ซีน ทาวน์ อิน ทาวน์ ไปจนคอมมูนิตี้มอลล์ในเมืองท่องเที่ยว อย่างเช่น กาดฝรั่ง วิลเลจ และคอมมูนิตี้มอลล์ที่คุ้นชื่ออีกหลายแห่ง รวมพื้นที่ให้เช่าสุทธิ 160,256 ตร.ม. มีมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 13,406.3 ล้านบาท และที่สำคัญอัตราการเช่าเฉลี่ยสูงถึง 93% จนติดอันดับกอง REIT ที่สร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจของปี 2565 เลยทีเดียว อีกทั้งในช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมาสถานการณ์ COVID-19 ที่มีความคลี่คลาย มีการเข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายจากมาตรการภาครัฐส่งผลให้ช่วยกระตุ้นให้การจับจ่ายใช้สอยในคอมมูนิตี้มอลล์และศูนย์การค้าให้กลับให้กลับมาคึกคัก แน่นอนว่ายิ่งจะส่งผลดีต่อผลตอบแทนของ ALLY REIT ไม่น้อยต่อไปในอนาคตได้แน่นอน
อีกทั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ALLY REIT ได้เข้าลงทุนเพิ่มเติมในโครงการ เดอะ ไพร์ม หัวลำโพง ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานพาณิชย์ ที่มีศักยภาพย่านพระราม 4 ประกอบกับเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา ALLY REIT ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กร จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ BBB+ (Triple B Plus) และกำหนดแนวโน้มอันดับเครดิตไว้ที่ระดับ “คงที่” หรือ “Stable” ยิ่งตอกย้ำว่า ALLY REIT จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องต่อไปในอนาคต
ให้ ALLY REIT เป็นหนึ่งในตัวเลือกการลงทุน
ทางเลือกการลงทุนในยุคนี้ มีหลากหลายและน่าสนใจ อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ลักษณะนิสัยนักลงทุนของตัวเองคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ซึ่งถ้ายังไม่มั่นใจว่านิสัยตัวเองเป็นแบบไหน ลองให้ ALLY REIT เป็นหนึ่งในตัวเลือกการลงทุนให้กับตัวเอง มีสภาพคล่อง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ซื้อขายง่ายผ่านพอร์ตหุ้น ใช้เงินเริ่มต้นไม่มาก แต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนในระยะยาว
และถึงแม้จะรู้แล้วว่านิสัยการลงทุนของคุณเป็นแบบไหน REIT ก็ยังเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของการลงทุนที่น่าสนใจ เพราะได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ไม่เสี่ยงมากไป เรียกได้ว่านิสัยแบบไหนก็ลงทุนได้ กระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างดี ใครๆ ก็ลงทุนใน REIT ได้นะ
ศึกษาข้อมูล ALLY REIT เพิ่มเติมได้ที่ www.allyreit.com
***คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน***