หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า “แพลนต์เบส” กันมากขึ้นในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา จนทุกวันนี้เดินไปทางไหนก็เห็นผลิตภัณฑ์ในตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่พ่วงด้วยคำว่าแพลนต์เบสเต็มไปหมด
เป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพของคนในยุคปัจจุบันในหลายด้าน เนื่องจากผู้คนทั่วโลกเลือกดื่มนมวัวน้อยลงเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ โดยเฉพาะชาวเอเชียกว่า 90% ที่ไม่สามารถย่อยโปรตีนในนมวัวได้ หรือมีอาการแพ้โปรตีนในนมวัว รวมถึงเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ชาวตะวันตกหลายประเทศเลือกดื่มนมจากพืชที่อร่อย และได้สารอาหารที่ครบถ้วนต่อร่างกายไม่แพ้นมวัว แต่ทำร้ายโลกน้อยกว่า ตามคำยืนยันของนักวิทยาศาสตร์และองค์กรเกี่ยวกับสุขภาพระดับโลก ซึ่งออกมาสนับสนุนให้คนทั่วโลกหันมาเลือกเมนูแพลนต์เบสมากขึ้น เพื่อสุขภาพของทุกคนและเพื่อถนอมสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
ทางเลือกใหม่ที่ใช่กว่า
เรื่องนี้อาจดูเหมือนเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ แต่ในความเป็นจริงแนวคิดการกินอาหารแพลนต์เบส ดื่มนมแพลนต์เบสไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ แต่เกิดขึ้นมานานหลายทศวรรษแล้วต่างหาก
ย้อนเวลากลับไปในปี 1980 มีการกำหนดคำว่า แพลนต์เบส (Plant Based) ขึ้นเพื่อใช้เรียกอาหารที่ทำจากพืช โดยปราศจากส่วนผสมที่มาจากสัตว์ โดยเน้นไปที่การกินที่ดีต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยไม่ได้อิงเรื่องจริยธรรมเกี่ยวกับสัตว์แบบวีแกน หรือการกินเจ ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ที่แบรนด์ “อัลโปร” เกิดขึ้นมาครั้งแรกในยุโรป มีเป้าหมายสำคัญที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นมเพื่อผู้บริโภคที่มีอาการแพ้แลคโตสในนมวัว และผู้ที่ต้องการโปรตีนจากพืช ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการส่งมอบสุขภาพดีให้ทุกคนเข้าถึงนมแพลนต์เบสได้ อัลโปรจึงพัฒนานมจากธัญพืชต่างๆ ที่อุดมด้วยสารอาหาร และใส่ใจกับรสชาติที่ถูกปาก ดื่มง่าย จนทำให้ชื่อของอัลโปรเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์นมแพลนต์เบสที่เป็นที่รู้จักใน 47 ประเทศทั่วโลกมายาวนานกว่า 40 ปี
นมโอ๊ตของอัลโปร ลดการใช้พลังงาน ช่วยดูแลทั้งเราและโลกใบนี้ตั้งแต่ต้นทางการผลิต ข้อมูลจากรายงานหน่วยงานที่ศึกษาด้านการใช้น้ำ เมื่อปี 2010 ข้าวโอ๊ตเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อยที่สุดในบรรดาพืชทั้งหลายที่นำมาสกัดเป็นนมได้ รวมทั้งยังได้ผลผลิตสูงต่อไร่ ไม่จำเป็นต้องใช้ที่ดินมหาศาลในการเพาะปลูก มีความทนต่อศัตรูพืชทำให้ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลงได้เป็นอย่างดี
นมโอ๊ตของอัลโปร ไม่ใช้การปรุงแต่งจนทำให้นมเสียรสชาติจากธรรมชาติ เพียงเทจากกล่องสู่แก้ว ก็จะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าวโอ๊ต เมื่อยกขึ้นจิบก็จะได้เนื้อสัมผัสนวลหอมละมุน เนื้อไม่หนักเหมือนนมทั่วไป เพราะเป็นลักษณะธรรมชาติของนมที่ได้จากพืช ไม่มีไขมันอิ่มตัว ไม่มีคลอเรสตอรอล ไม่มีแลคโตส ให้พลังงานเพียง 70-80 แคลอรี่ต่อกล่อง แถมให้แคลเซียมสูง มีใยอาหารสูงถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับนมอัลมอลด์ ช่วยระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูก อุดมด้วยวิตามินบีที่ดีต่อระบบประสาท คงคุณประโยชน์จากธรรมชาติไว้ครบ นอกจากรสออริจินอล (original) แล้ว ยังมีรสจืด (unsweetened) ที่มีน้ำตาลน้อยกว่า 1 กรัม ซึ่งนับว่ามีปริมาณน้ำตาลน้อยที่สุดในตลาดนมโอ๊ต ณ ปัจจุบัน
ไม่ต้องเลือกระหว่างธรรมชาติกับรสชาติ
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนน่าจะอยากลองชิมนมแพลนต์เบสกันแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจเรื่องรสชาติอันไม่คุ้นเคย เว็บไซต์ Vox กล่าวถึงแนวโน้มพฤติกรรมการกินอาหารของผู้คนในอนาคต ว่าแม้หลายคนจะให้ความสนใจที่จะเลือกกินอาหารแพลนต์เบสมากขึ้น แต่ก็ยังไม่อาจก้าวข้ามรสชาติที่ไม่ถูกปาก การจะเปลี่ยนผู้บริโภคให้หันมาเลือกผลิตภัณฑ์แพลนต์เบส จึงต้องอาศัยทั้งการพัฒนาส่วนผสมให้คงคุณค่าทางโภชนาการที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ ไปพร้อมกับมอบความอร่อยกลมกล่อมด้วยเช่นกัน
ที่ผ่านมาผู้ดื่มนมแพลนต์เบสอาจพบเจอทางแยกซึ่งต้องเลือกระหว่างสุขภาพ กับความอร่อย แต่สำหรับนมโอ๊ตอัลโปร มีให้ครบทั้งดื่มง่ายและได้คุณค่าจากธรรมชาติเน้นๆ ลองชิมขนาดพร้อมดื่ม 180 มล. พกพาง่ายระหว่างวัน หากติดใจก็สามารถซื้อขนาด 1,000 มล. สำหรับเนรมิตเมนูคู่บ้าน ใช้ผสมกาแฟ ชา สมูทตี้ คอนเฟล็ก หรือกราโนลาก็ไม่ทำให้กลิ่นและรสชาติหลักของเมนูนั้นๆ เปลี่ยนแปลงไป ถือเป็นนมทางเลือกที่นำมาใช้แทนนมวัวได้เป็นอย่างดี
ดีต่อเรา ดีต่อโลก
เช่นเดียวกับนมชนิดอื่นๆ ของอัลโปรก็มีการคัดสรรวัตถุดิบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ นมอัลมอนด์ มาจากฟาร์มขนาดเล็กรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อัลโปรร่วมมือกับเกษตรกรในพื้นที่เพื่อหาวิธีลดการใช้น้ำโดยไม่จำเป็น รวมถึงการปรับปรุงวิถีการเกษตรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สัตว์ และแมลงในบริเวณใกล้เคียง นมถั่วเหลืองของอัลโปรก็เช่นเดียวกัน ไม่เพียงปราศจากวัตถุดิบที่ตัดแต่งพันธุกรรม ส่วนใหญ่มาจากฟาร์มในฝรั่งเศส เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ (บางส่วนนำเข้าจากแคนาดาทางทะเลเพื่อลดคาร์บอนฟุตพรินต์) ส่วนนมมะพร้าว ผลิตจากมะพร้าวที่เติบโตท่ามกลางธรรมชาติในอินโดนีเซีย ชาวสวนเก็บ และคัดเลือกมะพร้าวเองกับมือ โดยส่วนต่างๆ ของเปลือกมะพร้าวและต้นมะพร้าวจะไม่มีการทิ้งไปเปล่า แต่จะนำไปทำงานจักสาน หมักเป็นปุ๋ยในสวนต่อได้อีกไม่รู้จบ เพื่อทำให้กระบวนการผลิตนมแสนอร่อย ของอัลโปรลดการสร้างขยะให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
รายงานความยั่งยืนปี 2020 ของ Alpro กล่าวว่าภายในปี 2525 พวกเขาตั้งเป้าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ต่ำกว่า 30% โดยจะปรับให้ 50% ของพลังงานที่ใช้ในการผลิตเป็นพลังงานหมุนเวียน ลดการใช้น้ำลง 60% ในกระบวนการผลิตนมแพลนต์เบส บำบัดน้ำกลับมาใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุด อีกเป้าที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน คือ การทำให้บรรจุภัณฑ์ทั้งหมดของอัลโปรไม่เพียงนำไปรีไซเคิลได้ แต่จะด้วยวัสดุรีไซเคิล และผลิตจากวัตถุดิบแพลนต์เบสตั้งแต่แรกเริ่มทั้งหมด จะเห็นได้ว่าในทุกขั้นตอนตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก เก็บเกี่ยวธัญพืชไปจนถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ อัลโปรให้ความสำคัญกับการสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมตลอดมา
ลองชิมความอร่อยของอัลโปร นมโอ๊ตอันดับหนึ่งจากยุโรปที่ส่งตรงถึงประเทศไทย ให้ทุกคนได้สัมผัสคุณค่าจากธรรมชาติ ที่ดีต่อทั้งเราและดีต่อโลกไปพร้อมกัน หาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ 7-Eleven และซูเปอร์มาร์เกตชั้นนำทั่วประเทศไทย รวมถึงร้านค้าออนไลน์ตามลิงก์ต่อไปนี้
Shopee: https://bit.ly/3FDJFMW
Lazada: https://bit.ly/3DB8G8W
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัลโปร (Alpro) หรือค้นหาสูตรอาหารเช้าดีต่อสุขภาพได้ทุกวันที่ https://www.alpro.com/th
อ้างอิงจาก
rootthefuture.com
sentientmedia.org
www.vox.com
downloads.ctfassets.net
www.tastingtable.com