เชื่อว่าคู่รักทุกคู่อยากให้ความรักของตัวเองหวานชื่นอยู่เสมอ วันแรกเป็นยังไง วันนี้และวันต่อๆ ไปก็อยากให้เป็นอย่างนั้น
แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป ก็ย่อมมีปัจจัยที่เข้ามากระทบกับความสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา หลายคู่อาจเลิกรากันไประหว่างทาง แต่ก็มีหลายคู่ไปถึงฝั่งฝันที่เรียกว่า ‘งานแต่ง’
วันนี้เราจึงมาคุยกับ ‘แวซายน์―ดร. วรัญญภัสสร์ สิรินิธิยประภา’ เจ้าของธุรกิจ Bride To Be Wedding Planner ซึ่งบทบาทที่เธอเป็นอยู่ ทำให้เธอได้เห็นคู่รักมากมายเดินทางมาถึงวันแต่งงานที่พวกเขาวาดฝันเอาไว้ และตัวเธอเองก็ได้เรียนรู้ว่ามีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้พวกเขามาถึงจุดนี้ได้ โดยที่ปัจจัยเหล่านั้นก็ยังสามารถนำมาปรับใช้กับการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ ได้อีกด้วย
Bride To Be Wedding Planner งานที่สะท้อนความคิดและจิตใจ
เบื้องหลังการ์ดแต่งงานสวยๆ ซุ้มถ่ายภาพน่ารักๆ ของชำร่วยสุดประทับใจ และบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของเจ้าบ่าว เจ้าสาว และแขกเหรื่อมากมาย จริงๆ แล้วยังมีผู้อยู่เบื้องหลังอีกคนหนึ่ง ที่เรารู้จักกันในนาม Wedding Planner หรือ ‘นักวางแผนงานแต่งงาน’ ที่คอยให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือคู่รักอยู่ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยตัดสินใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงการตัดสินใจในสเกลใหญ่ๆ เพื่อให้งานแต่งของพวกเขาออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุด เพราะอาชีพนี้เชื่อว่า งานแต่งงานครั้งแรกและครั้งเดียวของบ่าวสาวคู่นั้น จะต้องเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและน่าจดจำสำหรับพวกเขามากที่สุด
“จุดเริ่มต้นของ Bride To Be Wedding Planner ก็คือเราโตมากับธุรกิจงานแต่งงานอยู่แล้ว ก็เลยเหมือนได้ซึมซับ ได้เห็นอินไซต์ของธุรกิจนี้มาตั้งแต่เด็กๆ พอโตขึ้นมาก็ได้รับโอกาส ด้วยความที่ตัวตนของเรามีพื้นฐานที่ใกล้เคียงกับอาชีพนี้ด้วย
“ซายน์รู้สึกว่าการทำงานของซายน์เหมือนเป็น Bridesmaid หรือเพื่อนสนิทให้กับเจ้าสาว เพราะซายน์ค่อนข้างใส่ใจ พิถีพิถันในการเลือกสิ่งที่ดีให้กับลูกค้าที่เป็นว่าที่เจ้าสาว ซึ่งคอนเซปต์ที่ซายน์วางไว้ นอกจากความเป็นเพื่อนเจ้าสาวแล้ว ก็มีคีย์เวิร์ดว่า ‘Planned to Perfection’ เป็นการวางแผนให้เกิดความสมบูรณ์แบบที่สุด แต่ในความสมบูรณ์แบบ ซายน์ก็ค่อนข้างเชื่อมั่นในเรื่องของการปรับเปลี่ยน หรือยังคงความเป็นตัวเองของเจ้าบ่าว เจ้าสาว หรือคู่รักนั้นๆ อยู่”
“เวลาซายน์แพลนงานให้ลูกค้าแต่ละคู่ ซายน์ก็จะให้เขาเขียนบันทึกของตัวเอง แล้วก็มีการสัมภาษณ์อย่างจริงจัง เพื่อที่จะทำความรู้จักเขามากขึ้น จากนั้นก็รวบรวมข้อมูลเหล่านี้มาทำเป็นธีม หรือดึงมาเป็นแก่นในการผลิตงาน เพราะทุกอย่างมันคือการร้อยเรียงความรักและตัวตนของคู่รักนั้นๆ”
เพราะซายน์เชื่อว่าสิ่งสำคัญของการเป็น Wedding planner
ก็คือการเข้าใจตัวตนของบ่าวสาว
แล้วก็ไม่บังคับให้เขาเป็นอย่างที่เราอยากจะให้เป็น
เราต้องรับฟังเขามากๆ ว่าความต้องการของเขาคืออะไร
แล้วเราก็แนะนำสิ่งที่มีเหตุและผลให้
การบาลานซ์ชีวิตภายใต้ตัวตนที่หลากหลาย
นอกเหนือจากการเป็นนักวางแผนงานแต่งงาน หลายคนอาจจะรู้จักแวซายน์ในบทบาทอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เนื่องจากเธอเป็นผู้หญิงที่มีความสนใจหลากหลาย และพร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งทุกบทบาทก็ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารและการทำงานกับผู้คน ทำให้เธอสะท้อนความเป็นตัวตนและทัศนคติออกมาผ่านงานที่ทำอยู่เสมอ
“ซายน์รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีอาชีพในฝันหลายอย่าง แล้วทุกอย่างก็หล่อหลอมมาจากตัวตนของซายน์ อย่างที่ผ่านมาก็มีทั้งงานนักจัดรายการวิทยุ นักจัดรายการทีวี อาจารย์พิเศษ รวมไปถึงอาชีพในปัจจุบันนั่นก็คือ Creative Director ของ Bride To Be Wedding Planner ซึ่งก็ทำมา 8 ปีแล้ว”
“ซายน์เชื่อว่าทุกอย่างมันคือตัวตนที่เราถ่ายทอดออกมาในงาน ทุกงานมันคือการสื่อสารและการทำงานกับผู้คน ทำให้เราได้สะท้อนตัวตนและทัศนคติออกมาผ่านงานที่ทำ”
แต่ไม่ว่าจะบทบาทไหน สิ่งที่เธอคงเอาไว้อยู่เสมอก็คือ ‘มาตรฐาน’ ในการเลือกสิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิต ทั้งของตัวเธอเองและของคนรอบข้าง ด้วยตัวตนและมาตรฐานที่ว่ามานี้ ก็เลยเป็นที่มาของบทบาทใหม่ของเธอ ซึ่งก็คือ Brand Ambassador ของคอนแทคเลนส์ Bausch + Lomb Biotrue
“เวลาซายน์ใช้อะไร ซายน์จะเป็นคนที่ค้นคว้าหาข้อมูลก่อนที่จะเลือกมาใช้จริง อาจจะทำให้แบรนด์มองเห็นว่าเราคือคนที่รักษามาตรฐานของชีวิตตัวเอง พิถีพิถันในการเลือกบางอย่างที่จะทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างราบรื่น ทำทุกอย่างออกมาได้อย่างดีที่สุดในทุกบทบาท ทั้งบทบาทของการทำงาน แล้วในชีวิตประจำวันซายน์ก็ใส่ใจในรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของตัวเอง หรือรายละเอียดของคนรอบข้าง”
ด้วยบทบาทหลากหลายที่แวซายน์ได้รับ จึงทำให้ภายนอกเธอดูเหมือนเป็น Working Woman คนหนึ่งที่ทำอะไรหลายอย่างจนไม่มีเวลาพักผ่อน แต่จริงๆ แล้ว เธอสามารถจัดตารางชีวิตของตัวเองได้เป็นอย่างดี
“ซายน์เป็นคนที่ทำงานหนัก แล้วก็ใช้เวลาอย่างคุ้มค่ามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ไปเรียนหนังสือ ทำกิจกรรม ออกกำลังกาย ช้อปปิ้ง สังสรรค์กับเพื่อน คือใช้หนึ่งวันได้คุ้มมากเลย ในบทบาทของงาน ซายน์ก็พยายามจัดสรรเวลาภายในหนึ่งวันให้โปรดักทีฟที่สุด ตื่นเช้ามาออกกำลังกาย ทำงาน เคลียร์งาน ตอบอีเมล ตอนเย็นมีประชุม แต่ก็ยังมี Work-life Balance นะ ไม่ได้ทำงานหนักอย่างเดียว”
เธอเล่าให้ฟังว่า ภายในสัปดาห์จะต้องมี 1 วันที่เธอกำหนดไว้ให้เป็น Day off ซึ่งเธอจะใช้เวลานั้นกลับมาตอบแทนตัวเองที่ทำงานหนัก เช่น ออกไปกินของอร่อยๆ อ่านอะไรที่มีประโยชน์ ดูหนัง ฟังเพลง เติมอาหารให้กับสมองบ้าง และตั้งโจทย์กับตัวเองไว้ว่า จะต้องออกไปท่องเที่ยวที่ใหม่ๆ อย่างน้อยหนึ่งที่ต่อปี เพื่อไปเจอโลกกว้าง
เพราะสำหรับเธอแล้ว กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการพักผ่อน แต่ยังเป็นการค้นหาแรงบันดาลใจที่จะทำให้เธอกลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วย
และเช่นเดียวกับมนุษย์วัยทำงานทั่วไปที่ต้องใช้สายตาสม่ำเสมอ แวซายน์ค้นพบว่าการใส่คอนแทคเลนส์จำเป็นกับการใช้ชีวิตประจำวัน และเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของเธอที่ต้องเพ่งมองอะไรต่างๆ ตลอดเวลามากกว่า
“สายตาเป็นสิ่งสำคัญมากในแต่ละกิจกรรม เพราะฉะนั้น คอนแทคเลนส์จึงเป็นอะไรที่จำเป็นมากๆ เมื่อก่อนซายน์เป็นคนสายตาสั้น ใส่แว่นมาตั้งแต่ป.4 จนกระทั่งไปเรียนมหาวิทยาลัยก็เริ่มรู้จักกับการทำเลสิก พอได้ทำปุ๊บก็เหมือนได้เห็นโลกใหม่เลย แต่ว่าด้วยความที่เราทำตอนอายุยังน้อย ประกอบกับเข้าสู่ยุคที่เราเริ่มจ้องมือถือมากขึ้น เลยทำให้สายตาค่อยๆ กลับมาสั้น”
“สุดท้ายซายน์ก็เลยคิดว่าซายน์อาจจะต้องทำเลสิกอีกรอบ แต่ว่ามันมีความเสี่ยง จึงรู้สึกว่าการเลือกใส่คอนแทคเลนส์ที่มีคุณภาพน่าจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันของซายน์มากกว่า”
การเลือกความรักก็เหมือนเลือกคอนแทคเลนส์
จากประสบการณ์ของแวซายน์ในฐานะที่เป็นนักวางแผนงานแต่ง ซึ่งได้ใกล้ชิดกับคู่รักมากมาย แล้วก็เพิ่งจะจัดงานแต่งของตัวเองไปได้ไม่นาน ทำให้เธอเรียนรู้ว่าความรักที่ดีจะต้องประกอบไปด้วยปัจจัย 2 หลักๆ นั่นก็คือ ‘การรักษามาตรฐาน’ และ ‘การรักษาความเป็นตัวเอง’ ไว้อยู่เสมอ
ซึ่งเธอมองว่าปัจจัยเหล่านี้ จะทำให้ความรักในปัจจุบันยังคงอบอวลเหมือนวันแรกที่ทั้งคนสองคนพบกัน และเป็นปัจจัยที่ไม่ได้สำคัญแค่ในแง่ของความรักเท่านั้น แต่ยังสำคัญในแง่ของการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันด้วย
“สำหรับซายน์แล้ว ความรักที่ดีก็คือความรักที่ไม่ทำให้ชีวิตของเราแย่ลง ต้องเสริมกันให้ดีขึ้นในทุกๆ เรื่อง คอยเป็นกำลังใจให้กัน และซายน์เชื่อในเรื่องของการซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์ทั้งเรื่องในอดีต ปัจจุบัน อนาคต รวมไปถึงซื่อสัตย์กับตัวตนของเราเอง”
เพราะถ้าเราไม่ซื่อสัตย์กับตัวตน แล้ววันหนึ่งเราเปลี่ยนไป
เขาจะรู้สึกว่าทำไมเราถึงไม่เหมือนกับวันแรกที่เจอ
“ซึ่งซายน์ก็เห็นด้วยกับแคมเปญของ Bausch + Lomb Biotrue ที่บอกว่าการเลือกความรักก็เหมือนการเลือกคอนแทคเลนส์ เพราะซายน์ได้เรียนรู้ว่าความรักที่ดีก็คือ เราต้องไม่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ซายน์มองว่าตัวตนของเราสำคัญ ถ้าใครจะมารักเรา ซายน์ก็อยากให้เขารักที่เราเป็นตัวของตัวเอง แล้วอีกข้อที่สำคัญก็คือมีความสม่ำเสมอ วันแรกเราเคยเป็นคนน่ารักยังไง เคยดูแลเขายังไง ก็ควรจะสม่ำเสมอในความสัมพันธ์นั้นๆ ซึ่งซายน์เป็นคนที่หมั่นเติมความหวานอยู่เสมอ ซายน์จะจำได้ว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อะไรที่เขากลัว อะไรที่เขาแพ้ ทำในสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองถูกรัก โดยที่เราไม่เปลี่ยนความเป็นตัวเอง แล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนเขาด้วย
“เช่นเดียวกันกับคอนแทคเลนส์ ซึ่งเปรียบกับความรักที่ต้องชุ่มชื้นยาวนานสม่ำเสมอ ถ้าเราเริ่มต้นวันยังไง จบวันแล้วคอนแทคเลนส์ก็ควรจะชุ่มชื้นยาวนาน ให้เราสามารถใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง ในที่นี้คอนแทคเลนส์ก็จะมีการทำงานที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติของดวงตา ทำให้เราสามารถคงความเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ในทุกๆ วัน”
ความสำเร็จที่เกิดจากความเอาใจใส่
ด้วยบทบาททั้งหมดของแวซายน์ ทำให้เธอเรียนรู้อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานหรือความรักความสัมพันธ์ ทุกอย่างจะสำเร็จและราบรื่นได้ ล้วนแล้วแต่ต้องมีส่วนประกอบของ ‘ความเอาใจใส่’ อยู่ในนั้น ทั้งความเอาใจใส่ต่องานตรงหน้า ความเอาใจใส่ต่อผู้อื่น และความเอาใจใส่ต่อตัวเอง
“ซายน์ว่าซายน์เป็นคนที่รู้จักตัวเอง เป็นตัวของตัวเองค่อนข้างชัดเจน แล้วก็เป็นคนที่มองโลกในแง่บวก ซายน์เชื่อว่าในทุกการทำงาน ทุกความสัมพันธ์ มันเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรตายตัว แต่ถ้าเราคิดดีไว้ก่อน มันจะเป็นพลังงานที่ดี”
“การไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง ซายน์ไม่ได้ใช้แค่กับเรื่องของชีวิตรักนะ แต่ยังดึงไปใช้ในการทำงานด้วย นอกจากเราจะดึงตัวตนของลูกค้าออกมาแล้ว ซายน์เชื่อว่าตลอดระยะเวลาที่ซายน์ทำงานมา ซายน์รักษาคุณภาพของการทำงานได้ดี ทุกครั้งที่เริ่มต้นใหม่ ซายน์ไม่ได้คิดว่ามันคืองานแต่งงานอีกแล้ว แต่คิดว่ามันคืองานแต่งงานครั้งแรกและเป็นครั้งเดียวของเขา เพราะฉะนั้น ทุกครั้งซายน์จะมาพร้อมกับพลังงานที่เหมือนเริ่มต้นทำงานครั้งแรก เป็นมาตรฐานที่ซายน์เซตเอาไว้แบบนี้”
“ซายน์ชอบคำนี้มากเลย คำว่า ‘เอาใจใส่’ ถ้าจะถอดคำนี้ทีละคำ มันคือการเอาใจเราไปใส่ในใจของทุกคน สำหรับซายน์มันใช้ได้กับทุกบทบาท ไม่ว่าจะเป็นบทบาทเจ้านาย เพื่อน แฟน หรือลูก เพราะซายน์เชื่อว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำให้คนอื่น อาจจะไม่ต้องเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ แต่ความใส่ใจต่างหากที่จะทำให้เขารับรู้ได้ว่าเรารักเขาจริงๆ”