“การอยู่อาศัยเป็นเรื่องของวิถีชีวิต” คุณกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ บอกเราผ่านรอยยิ้มละไมบนใบหน้าเช่นนั้น สำหรับเขา บ้านหรือห้องหับจึงไม่เป็นแค่เพียงที่หลับนอน หากแต่มันยังต้องเป็นพื้นที่แห่งการสร้างชีวิต สร้างความสุขด้วย
ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) ผู้คร่ำหวอดในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ คุณกิจจาคือหนึ่งในคนที่มองเห็นศักยภาพและความสำคัญของเครื่องเรือนสำหรับใช้ในบ้านมากที่สุด สะท้อนผ่านสินค้าจากเครือ Chic Republic ที่เขาก่อตั้งมากว่าสิบปี ซึ่งมีตั้งแต่เครื่องเรือนสไตล์วินเทจไปจนถึงโมเดิร์นล้ำสมัยที่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายมาอย่างยาวนาน
สิบปีที่ผ่านมานี้มีอะไรเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่ ตลาดเฟอร์นิเจอร์ในไทยเป็นอย่างไรต่อไป และเส้นทางของ Chic Republic ต่อจากนี้เตรียมมุ่งไปทิศไหน คำตอบอยู่ในบทสนทนากับคุณกิจจา ถัดจากบรรทัดนี้
ตอนนี้ตลาดเฟอร์นิเจอร์ในไทยโตขึ้นมาก มองภาพรวมของแบรนด์ Chic Republic อย่างไรบ้าง
ผมตั้งธุรกิจ Chic Republic ขึ้นมาเมื่อประมาณ 12 ปีที่แล้ว ซึ่งผมมองว่าตลาดบ้านเราเฟอร์นิเจอร์บ้านเราในช่วงนั้นมันไม่มีความแปลกใหม่อะไรเลย และขณะนั้น ผมเห็นว่าเฟอร์นิเจอร์รวมถึงของแต่งบ้านในต่างประเทศมีแนวคิดแบบการค้าปลีก เฉพาะอย่างขนาดใหญ่ (Specialty Stand Alone Store) เราก็เลยมีไอเดียขึ้นมาว่า เราจะตั้งบริษัท Chic Republic ขึ้นมา
หนึ่งในแนวคิดของ Chic Republic คือการเป็นร้านเดี่ยว (Stand Alone) มีตึกขนาดใหญ่ของเราเองเพราะเราต้องการทำเป็นคอนเซปต์ One Stop Shopping พวกเฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน รวมทั้งเครื่องนอนต่างๆ แบบครบวงจร ที่สำคัญคือเราต้อง Educate ตลาดด้วย เช่น ถ้าเราบอกว่าลูกค้าซื้อเตียงไปเพื่อใช้สำหรับการนอน ก็จะพบว่าความสำคัญของการพัฒนาสินค้ามันน้อย ลูกค้าไม่เกิดแรงบันดาลใจ ผมจึงนำแนวคิดเรื่อง Home Fashion Living มาใช้ นั่นคือแนวคิดที่ว่าที่อยู่อาศัยมันต้องแสดงถึงความเป็นตัวตน มีรสนิยม ไลฟ์สไตล์ของคนอยู่อาศัยในบ้าน ‘Living is not just to live, but to live fashionably.’
ด้านหนึ่งมันเหมือนการทำให้เครื่องใช้ภายในบ้านกลายเป็นแฟชั่นขึ้นมาด้วยใช่ไหม
คำว่า Home Fashion มันบอกเลยว่า Fashion มันต้องเปลี่ยนแปลง ต้องพัฒนา เฟอร์นิเจอร์คือแฟชั่นนะ และเมื่อตลาดถูกขับเคลื่อนด้วย Home Fashion เช่นนี้ ตลาดจะไม่หยุดนิ่ง แต่จะมีการพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ตลาดมั่นคงและเกิดมูลค่าเพิ่มขึ้น
ที่สำคัญ Chic Republic ไม่ได้ขายเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ แต่เราทำครบวงจรคือ เฟอร์นิเจอร์กับของแต่งบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ฉะนั้นการหาลูกค้าหนึ่งครั้ง แล้วมีการซื้อซ้ำไปเรื่อยๆ นั่นคือการต่อยอดธุรกิจได้ดีที่สุด
คิดว่า 12 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ Chic Republic พัฒนาเปลี่ยนตลาด ตลาดเฟอร์นิเจอร์บ้านเราเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน
ตลาดเฟอร์นิเจอร์บ้านเรา ตลาดการตกแต่งบ้านเปลี่ยนไปเยอะมากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ผมว่าลูกค้ามีไอเดียการออกแบบว่าอะไรสวยบ้าง รวมทั้งผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ขับเคลื่อนตลาดบ้านและการตกแต่งบ้านด้วย เราเป็นผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ เราก็หยุดนิ่งไม่ได้ และต่อมาคือการตกแต่งภายในอาคาร Chic Republic เราใช้เงินในการตกแต่งภายในสูงมาก เพราะเราต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกค้า ร้านเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ในอดีตนั้นตกแต่งแบบง่ายๆ เช่น วางของแบบเรียงแถวหน้ากระดาน ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจอะไรให้ลูกค้าไม่ได้เลย นี่คือการทำให้ลูกค้าอยากให้บ้านตัวเองสวย อยากให้ตัวเองมีรสนิยมของการแต่งบ้านที่ดี แล้วในความเป็นจริงบ้านหลังหนึ่งไม่ได้มีแค่เฟอร์นิเจอร์ ดังนั้นเราจึงขายทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น โคมไฟไปจนถึงนาฬิกาตั้งโต๊ะ, แก้วไวน์ เรามีสินค้าจำพวก High-end Luxury ครบหมดเลย มันเป็นสิ่งที่ทำให้บ้านมีชีวิตขึ้น และบ่งบอกถึงไลฟ์สไตล์ รสนิยมคนด้วย
ขณะเดียวกันเราก็มีบริการให้ลูกค้า เช่น ลูกค้าหลายท่านมาชอบการดีไซน์ การตกแต่งภายในของเรา เขาขอถ่ายรูป ขอคำแนะนำ เราก็มีบริการตรงนี้ให้ ซึ่งการสร้างแนวคิดแบบนี้ทำให้ตลาดโต
ที่ผ่านมา คนอาจจะรู้จักแบรนด์ Chic Republic ว่าขายเฟอร์นิเจอร์อย่างเดียว อยากให้อธิบายว่ามีอะไรอีกบ้าง
เริ่มจากกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ก่อน สำหรับกลุ่มนี้เรามีสามแบรนด์หลัก แบรนด์ที่หนึ่งคือ Chic Republic แบรนด์ที่สอง คือ Rina Hey ซึ่งสองแบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่เราเป็นเจ้าของ (House Brand) และแบรนด์ที่สามคือ Ashley โดยเราร่วมมือกับแบรนด์ Ashley จากอเมริกา ซึ่งแบรนด์ Ashley นี้เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์อันดับหนึ่งที่ยอดขายมากที่สุดในอเมริกา และเป็น International Brand ขายไปร้อยกว่าประเทศทั่วโลก เราเป็นเจ้าเดียวในไทยที่จับมือกับเขาซึ่งทำให้กลุ่มเรามีสามแบรนด์ที่สามารถจับลูกค้าได้ทั้งกลุ่ม A B และ C
ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้วแบรนด์ Chic Republic จับลูกค้ากลุ่ม B ขึ้นไปจนถึง A มีทั้งแนวโมเดิร์น มีทั้งแนวอินดัสเทรียล (Industrial) มีทั้งแนวร่วมสมัยและมีทั้งแนววินเทจ (Vintage)
ขณะที่แบรนด์ Rina Hey เป็นแบรนด์ที่เราตั้งใจพัฒนาเพื่อจับลูกค้าตลาดใหญ่จากกลุ่ม B ลงมา เป็นสินค้าราคาไม่แพง มีขนาดเล็ก เหมาะสำหรับตลาดคอนโดมิเนียม กลุ่มคนกลุ่มนี้ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มต้นทำงานและสร้างครอบครัวใหม่ รายได้เริ่มต้นอาจไม่สูงมาก แต่เขามีไลฟ์สไตล์ อยากตกแต่งในงบที่ไม่แพง จึงเป็นตลาดที่เหมาะสำหรับแบรนด์ Rina Hey ที่สำคัญคือช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดออนไลน์เปิดกว้างขึ้นมาก แบรนด์ Rina Hey เติบโตทางออนไลน์ในอัตราเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าสินค้าราคาไม่แพง ดีไซน์ทันสมัย
สำหรับแบรนด์ที่สามคือแบรนด์ Ashley เป็นแบรนด์นำเข้าจากอเมริกา เราเป็น Exclusive Distributor ในประเทศไทย จับฐานลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มคนที่เดินทางต่างประเทศบ่อย รู้จักแบรนด์ต่างๆ เฟอร์นิเจอร์จากแบรนด์นี้จะมีขนาดใหญ่มาก เอาไปวางแล้วทำให้บ้านดูหรูทันที
ดังนั้น ทั้งสามแบรนด์ของเราคือจับกลุ่มลูกค้าได้ครบหมดเลย
ที่บอกว่าทำออนไลน์นั้นมีขั้นตอนอย่างไร ต่างไปจากการวางขายหน้าร้านมากน้อยแค่ไหน
ตอนนี้เราขายออนไลน์ครบทุกทั้งสามแบรนด์เลยคือ Chic Republic, Rina Hey และ Ashley โดยทั้งสามแบรนด์นี้มีเว็บไซต์ เป็นเว็บไซต์แบบ Fully e-commerce
ปัจจุบันเราทำกลยุทธ์อันหนึ่งที่เรียกว่า O-to-O คือ Offline to Online-Online to Offline ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า กระบวนการทำงานเราไม่มีรอยต่อ เช่น ถ้าลูกค้าตั้งใจมาดูสินค้าที่ Chic Republic แล้วกดสั่งสินค้าทางออนไลน์ขณะอยู่ในร้านเราก็ได้ หรือบางคนก็สั่งทางออนไลน์เอาเลยเพราะหน้าเว็บไซต์ของสินค้าแต่ละตัวก็มีข้อมูลต่างๆ ครบ
และเรามีบริการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ให้ลูกค้าเลย ผมว่าคนไทยชอบ One Stop Shopping, One Stop Service ทุกอย่างเบ็ดเสร็จ แล้วการประกอบเฟอร์นิเจอร์ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายด้วย เรามีช่างที่ชำนาญการ ฝึกอบรมและผ่านใบรับรองของเรามาทำให้
ภาพรวมของ Chic Republic จึงไม่ได้ขายแค่เฟอร์นิเจอร์ แต่ยังขายของตกแต่งบ้านด้วย นอกจากนี้ยังมีธุรกิจในด้านอื่นๆ อีกไหม
รายได้ถัดไปของเราเรียกว่า Chic Design Studio มีทีมงานมาบริการลูกค้าตั้งแต่การวัดพื้นที่ ตรวจห้อง มีดีไซน์เนอร์ออกแบบภายในเป็นรูป 3D จนถึงการก่อสร้างงานตกแต่งภายในโดยมีทีมงานคุมหน้างานให้ตลอด เป็น Interior Design & Turnkey Service โดยสมบูรณ์ และเราก็นำเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวของ Chic Republic, Rina Hey หรือ Ashley ใส่ไปในห้องลูกค้าด้วย
จากนั้น เราต่อยอดธุรกิจออกมาเป็น Chic Rent In Style บริการให้เช่าเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน สำหรับบริษัทจัดอีเวนต์ต่างๆ หรือบริษัทอสังหาที่ทำห้องตัวอย่างบ้านและคอนโด โดยเรามีบริการเพิ่มเป็นการจัดพร็อพและเฟอร์นิเจอร์ให้ด้วย ซึ่งจะเหมาะกับคนที่อยากปล่อยเช่าหรือขายห้องเปล่าในคอนโดมิเนียม ทีม Stylist ของเราจะเข้าไปแต่งห้องให้สวยงามเพื่อให้เจ้าของห้องนำไปขายต่อได้
และสุดท้ายธุรกิจของ Chic นั้น มีรายได้จากส่วนค่าเช่าด้วย คือมีร้านค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ตทยอยเข้ามาเช่าที่ในอาคารเรา เราจึงมีรายได้ตรงนี้เสริมเข้ามา
เห็นว่าไปเปิดสาขาที่ต่างประเทศด้วย
เรามีสาขาที่กัมพูชาโดยส่งสินค้าออกจากไทย เราเห็นตลาดที่อยู่อาศัยมีอัตราเติบโตใช้ได้และดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ และร้านที่เราเปิดที่นั่นถือว่าใหญ่ที่สุดในกัมพูชา กล่าวคือประมาณ 3,000 กว่าตารางเมตรและอยู่ในศูนย์การค้าของ AEON Mall ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุด และเมื่อเราไป เราคือเบอร์หนึ่งเลย เนื่องจากว่าเฟอร์นิเจอร์ของเราทันสมัยกว่าคนอื่นเยอะ
แสดงว่าถ้าเรามองภาพรวม เราจะเห็นโมเดลในการประกอบธุรกิจของ Chic Republic เป็น 7 อย่าง คือ ขายหน้าร้าน, ขายออนไลน์, ขายโครงการ, บริการออกแบบและตกแต่งภายในแบบ Turnkey, บริการให้เช่าเฟอร์นิเจอร์และตกแต่ง, ส่งออกไปต่างประเทศ และ ค่าเช่าบริการพื้นที่ค่าปลีก มีอย่างอื่นอีกไหม
หลายคนไม่รู้นะว่าเราทำงานโครงการเยอะมาก ปีหนึ่งหลายร้อยล้านบาท กล่าวคือบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างน้อย 10 แห่งเป็นลูกค้าเราหมด
โครงการของเราคือเราผลิตและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ ครัว ตู้เสื้อผ้าบิลด์อินอะไรต่างๆ ให้โครงการ ปีหนึ่งๆ เราทำหลายพันห้องให้โครงการ เรียก B2B คือทำกับลูกค้ากลุ่มที่ทำคอนโดมิเนียมขาย เพราะเมื่อเราประมูลหรือทำสัญญาแต่ละครั้งนั้นเราทำทั้งตึก หรือบางหมู่บ้าน เป็นบ้านหลังเดี่ยวก็เอาเฟอร์นิเจอร์เราเข้าไป คือเราเข้าประมูลงานจริงจัง
วิธีคิดของผมเวลาพัฒนาสินค้ามาจำหน่ายให้ลูกค้า ผมไม่ได้คิดจากว่า สินค้าตัวนี้ 100 บาท บวกกำไรแล้วเอาไปขายให้ลูกค้า เพราะนี่คือการคิดแบบในมุมผู้ขาย แต่เวลาผมทำงาน ผมคิดในมุมมองลูกค้า เช่น ถ้าโต๊ะอาหารหรูขนาดนี้ ใช้วัสดุดี ลูกค้าจะยอมรับในราคาประมาณเท่าไหร่ ฉะนั้นส่วนใหญ่แล้วเมื่อเรามีสินค้าออกมาให้ลูกค้าได้เห็นด้วยตาตัวเอง ผมกล้าพูดเต็มปากว่าลูกค้าจะบอกว่าราคาสินค้าเราไม่แพง เพราะเราใช้วัสดุอย่างดี ลอกเลียนแบบก็ยาก
Chic Republic ใช้ Innovation ทั้งออนไลน์ ทั้งออฟไลน์เยอะมาก อยากให้ขยายว่าเราใช้ Innovation อะไรในการทำธุรกิจบ้าง
เราพัฒนาการขายสินค้าให้กับลูกค้าแบบ O-To-O แบบไร้รอยต่อ ลูกค้าสามารถที่จะซื้อสินค้าของเราที่ไหนและเวลาไหนก็ได้ที่ลูกค้าสะดวก (Anywhere, Anytime) ดังนั้นสิ่งที่เราจะลงทุนแต่ละอย่างนั้นต้องตอบโจทย์ลูกค้าหรือความอยากได้ของลูกค้า เราเข้าไปร่วมมือกับ Marketplace รายใหญ่ทั้งหมดของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, Central online หรือ NocNoc รวมถึงช่องทางของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Website ของทางเราเองทั้ง 3 แบรนด์, Facebook และ Line Official Account
หากลูกค้ามีปัญหาอะไร เราจะมีแผนก CDC (Customer Delight Center) ที่ลูกค้าติดต่อเข้ามาได้ตลอด มีคนคอยบริการ หรือถ้ามีเรื่องที่เจ้าหน้าที่ตอบไม่ได้ เขาก็จะส่งเรื่องดังกล่าวให้ผู้ที่เกี่ยวข้องตอบกลับลูกค้าไป เราจึงเน้นเรื่องการสื่อสารกับลูกค้า และเน้นความสะดวกสบายของลูกค้าด้วย
ขณะที่ภายใน เรามีการลงทุนระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) คือทำทุกอย่างด้วยเวลาจริง (Real Time) ทั้งหมดเลย โดยเราซื้อซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์ (Microsoft) ชื่อระบบนาวิชั่น (Navision) คือจะทำทั้งระบบบัญชี การเงิน สต็อกต่างๆ โดยเราจะเห็นตัวเลขทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในเวลานั้นเลย สมมติเราขายสินค้าตัวหนึ่งออกไป สต็อกมันจะตัดให้เราเห็นทันทีเลยผ่านหน้าจอที่เราดู เช่น จากที่เหลือในสต็อก 10 ตัวก็จะเหลือแค่ 9 ตัว หรืออยากจะรู้รายได้ของเราวันนี้ว่าสาขาไหนขายได้เท่าไหร่ เป็นรายการอะไร เราสามารถคลิกเข้าไปดูได้เพราะว่ามันเห็นหมด และเรามี Distribution Center กลางอยู่ที่บางพลี บริหารโดยบริษัท DHL ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลกเป็นผู้บริหารจัดการคลังให้เรา ใช้ซอฟต์แวร์กับเรา ทำให้รู้ว่าคลังกลางมีของเท่าไหร่ สาขามีเท่าไหร่ เราจึงดูความเคลื่อนไหวของสินค้าเราได้หมดเลย
มองในเชิงการบริหารงาน บริหารต้นทุนอย่างไร ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ Chic Republic เป็นไม่กี่บริษัทที่ยังทำกำไรได้ต่อเนื่อง
ผมให้ความสำคัญเรื่องแบรนด์มาก ผมว่าแบรนด์เป็นการบ่งบอกตัวเอง บอกตัวตนของเรา ว่าเราเป็นใคร และแบรนด์เป็นทรัพย์สินที่มีค่า ผมจึงพยายามสร้างแบรนด์ให้มีความต่อเนื่อง เราต้องจ่ายเงินในการสร้างแบรนด์ เมื่อมูลค่าเพิ่มตามธุรกิจที่รันไปเรื่อยๆ จะนำพาไปสู่ยอดขายเอง แบรนด์ดี สินค้าต้องดี ราคาก็ต้องไม่โอเวอร์จนเกินไป ต้องสมเหตุสมผล ธุรกิจก็จะตามมาเอง
แต่เราต้องไม่ประมาท ผมคิดว่าแบรนด์เหมือนชีวิตคน พอเกิดมาแล้วและประคับประคองให้ถูกที่ถูกทาง เราก็ยังต้องเสริมเขาให้แข็งแรงตลอดเวลา
Chic Republic เตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว สถานการณ์ต่างๆ เป็นอย่างไรแล้วบ้าง
โครงสร้างบริษัทเราเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มาประมาณ 5 ปีแล้ว ฉะนั้นคณะกรรมการและผู้บริหารจึงเป็นผู้กำหนดมาตรฐานและความโปร่งใสต่างๆ ของเราโดยอัตโนมัติ เราเชื่อมั่นว่าถ้าเราเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว เราสามารถนำพา Chic Republic ให้เติบโตแล้วประสบความสำเร็จได้ ผมเชื่อว่าที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งใน 4 ปัจจัยหลัก ที่สำคัญคือผมว่าคนรุ่นใหม่ๆ มีสไตล์ มีรสนิยม ให้ความสำคัญเรื่องนี้มากขึ้น เพราะฉะนั้นโอกาสที่เราจะเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจมันก็มีเยอะ
แม้กระทั่งออนไลน์ อนาคตเรากำลังมองเรื่องเมตาเวิร์ส (Metaverse) มันเป็นไปได้ เราก็เตรียมตัวแล้ว ประชุมกันหลายรอบ ว่าเราจะเข้าเมตาเวิร์สไหมเพื่อให้คนรู้จักเรามากขึ้น
มองภาพอนาคตของ Chic Republic ไว้อย่างไรบ้าง
เรามีแผนระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะเราเห็นว่าธุรกิจที่เราทำอยู่ มันมีศักยภาพที่จะเติบโตในเชิงของรายได้ ในเชิงผลประกอบการ และเราสามารถสร้างมูลค่ามากกว่าที่เราเห็นอยู่ปัจจุบันได้ด้วย
นอกจากนี้ เราตั้งใจจะไปสร้างสาขาที่อุดรธานี โดยเตรียมตัวจะสร้างหลังจากระดมทุนได้ เพราะสาขาต่างจังหวัดมีอัตราเติบโตสูงมาก ตอบโจทย์ลูกค้าคนไทยในจังหวัดใหญ่ ภาคอีสาน ลูกค้าจากฝั่งลาว ขณะเดียวกันเป็น Distribution Center ให้กับภาคอีสานด้วย
สังเกตว่า Chic Republic ให้ความสำคัญกับคำว่า “ทำให้บ้านมีชีวิต” คิดว่ามันสำคัญต่อมนุษย์เราอย่างไร
ผมเชื่อว่าการมีบ้านที่ดีมันมีความสุขกว่าการออกไปหาความสุขข้างนอกนะ บรรยากาศของบ้านหรือคอนโดที่ดี ทำให้เรามีความรู้สึกถึงชีวิต ความสุขที่แท้อยู่ที่บ้าน และผมมองว่าบ้านนั้นเมื่อลงทุนไปแล้วก็เป็นทรัพย์สินที่มีค่า ราคาของบ้านหรือคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นปีหนึ่ง 10-15% ตลอดหากว่าทำเลดี
อีกประการคือ การทำธุรกิจนี้ทำให้ผมพบครอบครัวของลูกค้ามาเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์เยอะมาก และมีโอกาสนั่งคุยกับคุณพ่อ คุณแม่ของแต่ละครอบครัว เขาก็ค่อนข้างอยากให้ลูกๆ สมาชิกในครอบครัวอยู่ด้วยกันที่บ้าน มีความสุขด้วยกันที่บ้าน อยากทำบ้านให้น่าอยู่ มีห้องอ่านหนังสือ ห้องทำการบ้าน ห้องนั่งเล่น ห้องดูโทรทัศน์ อยากให้อยู่ด้วยกันในบ้าน
เพราะผมคิดว่าการอยู่อาศัยที่ดี มันนำพาซึ่งความสุขในบ้านได้นั่นเอง