เคยลองจินตนาการภาพโลกในอนาคตไหมว่า อีก 10 ปีข้างหน้าโลกจะเป็นแบบไหน
หรือลองตั้งคำถามที่ง่ายกว่านั้น เช่น เราอยากอาศัยอยู่ในโลกแบบไหน
หากยังคิดภาพไม่ออก เราลองย้อนมามองโลกในปัจจุบันนี้กันดีกว่า
ข่าวอุณหภูมิทั่วโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยุโรปเผชิญอุณหภูมิที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ไฟป่าครั้งใหญ่ของออสเตรเลียคร่าชีวิตสัตว์ป่าหลายล้านชีวิต น้ำแข็งขั้วโลกละลายจนสัตว์พื้นถิ่นไม่มีที่อยู่อาศัย ทะเลทรายซาฮาร่าหิมะตกถี่ขึ้นเรื่อยๆ เกาหลีใต้เผชิญฝนตกหนักในรอบ 80 ปี หรือใกล้ตัวกว่านั้นกับภาวะอากาศแปรปรวนในเดือนเมษายนที่อากาศหนาวทั่วประเทศไทย อีสานแล้งหนัก เหนือเผชิญปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 หรือน้ำท่วมกรุงเทพฯ และภาคใต้ เพราะฝนตกหนักต่อเนื่อง ทั้งหมดล้วนเป็นข่าวสิ่งแวดล้อมที่เราได้ยินผ่านหูในไม่กี่ปีมานี้ ซึ่งเกิดจากปัญหาโลกร้อนที่กำลังส่งผลกระทบไปทั่วโลก
หากลองมองย้อนกลับไป ธรรมชาติให้อะไรมนุษย์มากมาย การที่เราดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ธรรมชาติของโลกเรามอบให้ทั้งนั้น แต่สิ่งที่เรามอบคืนให้กับโลกคือการทำร้ายและทำลายโลกในทุกๆ ทาง ทั้งการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง การสร้างขยะ การจัดการขยะที่ไม่มีประสิทธิภาพ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาใหญ่อย่างภาวะโลกร้อน ที่กำลังส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเราทั้งในปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า
ถ้าเรายังไม่ปรับความคิดและเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่ตอนนี้ นี่คือสิ่งที่โลกในอีก 10 ปีข้างหน้าอาจจะเป็น หรืออาจจะแย่ได้ยิ่งกว่า ลองนึกภาพตามว่าในอนาคต ธารน้ำแข็งบางแห่งจะละลายหายไป ปริมาณน้ำในมหาสมุทรที่เพิ่มสูงขึ้นจะกัดเซาะแผ่นดิน ลบประเทศชายฝั่งออกไปจากแผนที่โลก โลกจะเผชิญสภาพอากาศสุดขั้ว (Climate Extremes) พายุหมุนก่อตัวถี่ขึ้น ตามมาด้วยพายุฝนถล่มและน้ำท่วม ก๊าซมีเทนจะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นอีก ไม่เอื้อต่อการหายใจ แต่เอื้อต่อการเกิดไฟป่า โรคระบาดจะคร่าชีวิตมนุษย์ สัตว์จะไม่สามารถดำรงชีวิตได้ในธรรมชาติที่เลวร้าย ระบบนิเวศจะพังลง และโลกจะพร้อมเข้าสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่…
โลกใบนั้นยังใช่โลกที่เราอยากอาศัยอยู่ไหม
เพราะปัญหาของโลก คือปัญหาของเรา
จนถึงทุกวันนี้เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า ‘ภาวะโลกร้อน’ หรือ Global Warming กันจนคุ้นหู ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสิบ-ยี่สิบปีก่อนเราอาจไม่ตระหนักว่าการที่โลกอุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่กี่องศา หรือการที่ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายมากกว่าปกติมันน่าตระหนกตรงไหน แต่ในปัจจุบันผลกระทบที่โลกถูกทำร้ายกำลังเป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตทรัพยากรขาดแคลน ภาวะอากาศแปรปรวน ภัยธรรมชาติที่เกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ กระทบมาถึงระบบเศรษฐกิจ และการใช้ชีวิตประจำวัน หากมนุษย์เรายังคงให้แต่สิ่งไม่ดีกับโลกต่อไป ด้วยวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ของเรา อนาคตของมนุษย์เราจะใช้ชีวิตลำบากขึ้นแน่นอน
และเพราะปัญหาโลกร้อนไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่ทุกคนต้องจับมือทำงานร่วมกัน เป็นปัญหาใหญ่ที่ทั้งโลกต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน จึงมีการตั้งพันธกิจร่วมกันใน ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ NET ZERO ภายในปี 2050 โดยมีเป้าหมายหลักในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และพยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
ประเทศไทยเองก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ตั้งเป้าจะบรรลุภารกิจนี้ ส่งผลให้ภาคเอกชนในประเทศไทยหลายบริษัทประกาศนโยบายที่สอดรับกับเป้าหมาย NET ZERO 2050
โดยล่าสุด เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ C.P. Group ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก จึงมุ่งสู่การลดขยะเป็นศูนย์และเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี ค.ศ. 2030 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2050
โดยให้ความสำคัญกับแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการใช้พลังงานสะอาด จึงนำร่องใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในโรงงาน ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลในฟาร์มสุกร CPF เพื่อปรับเปลี่ยนไปใช้พลังหมุนเวียน 100% ในอนาคต นอกจากนั้นยังกำหนดอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญ คือ การจัดการของเสีย (Waste Management) ตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายสายการผลิต ส่วนด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่นำมาใช้ ในปี 2030 จะต้องสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ ใช้ซ้ำ หรือย่อยสลายได้ทั้งหมด
ไม่เพียงเท่านั้น C.P. Group ยัง ประกาศแคมเปญใหม่ใช้ชื่อว่า ‘ตอบแทนโลก 2 เมตร’ ที่อยากชวนทุกคนมาดูแลโลกในแบบของตัวเอง
ปัญหาใหญ่ที่เริ่มต้นแก้ได้จากคนตัวเล็ก
แม้ปัจจุบันเราต่างตระหนักถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อนเป็นอย่างดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาใหญ่มักถูกมองว่าแก้ไขได้ด้วยพลังใหญ่ๆ เท่านั้น เป็นหน้าที่ขององค์กรระดับโลก รัฐบาล หรือกลุ่มธุรกิจเอกชน
แต่ความจริงแล้วการแก้ปัญหาใหญ่ๆ เริ่มต้นได้จากคนตัวเล็ก และพื้นที่เล็กๆ รอบตัวเรา เช่นเดียวกับแคมเปญ ‘ตอบแทนโลก 2 เมตร’ จาก C.P. Group ที่ชวนทุกคนมาดูแลโลก โดยเริ่มจากโลกใบเล็กๆ ของตัวเองในระยะกางสองแขน หรือโลก 2 เมตรรอบตัวเรา ในแบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการลดกิจกรรมที่สร้างคาร์บอน เช่น ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในโรงงานมาตรฐาน การลดขยะจากเดลิเวอรี่ แยกขยะให้ถูกประเภท-ทิ้งให้ถูกที่ รีไซเคิลขยะพลาสติก ใช้พลังงานสะอาด เพิ่มพื้นที่สีเขียว หรือแม้แต่บริโภคแต่พอดีเพื่อลดขยะจากอาหาร เพียงเท่านี้โลก 2 เมตรของเราก็น่าอยู่ขึ้นแล้ว
แค่ปรับเรื่องง่ายๆ โลกก็เปลี่ยนได้ ไม่ใช่เรื่องเกินจริง!
ตอบแทนโลก 2 เมตร
ในแคมเปญนี้ C.P. Group ชวนเทนนิส – พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโดสาวขวัญใจคนไทยมานำทีมทุกคนออกมาตอบแทนโลก 2 เมตร พร้อมปล่อยภาพยนตร์โฆษณาชวนให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวเราเองกับโลก โลกให้อะไรกับเรา และเราเคยลงมือทำอะไรเพื่อโลกบ้าง
ไม่เพียงสะกิดใจให้คนย้อนกลับมาค้นหาคำตอบกับตัวเองเพียงเท่านั้น แต่ภาพยนตร์โฆษณาเรื่องนี้ยังช่วยตอกย้ำภาพว่าการลงมือทำอะไรเพื่อโลกไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด โดยเราสามารถร่วมแคมเปญได้ง่ายๆ เพียงแค่กางแขนกว้างๆ เป็นระยะ 2 เมตร ดูแลโลกในแบบของเราเอง แล้วแชร์ในโซเชียลฯ ช่องทางใดก็ได้
จริงอยู่ว่าการทำความดีอาจไม่จำเป็นต้องบอกใคร แต่จะดีกว่าไหม หากเราสามารถกลายเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงที่จะช่วย Call-out ให้คนหันมาทำเพื่อโลกใบนี้มากขึ้น เพื่อที่จะเชื่อมโยงโลกสวยๆ ในระยะ 2 เมตรของทุกคนเข้าด้วยกัน
เริ่มต้นคนละ 2 เมตร เพื่อเชื่อมต่อกันให้โลกทั้งใบดีขึ้น