ในทุกวันนี้การจัดฟันไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาดหรือโดดเด่นเหมือนเมื่อราว 10-20 ปีที่แล้วอีกต่อไป
ในยุคหนึ่งการจัดฟันถูกมองว่าเป็นแฟชั่นสุดล้ำราคาแพง ที่อยู่ในเลเวลสูงกว่าการมีแพ็กลิงค์ติดตัว ดาราวัยรุ่นหลายคนมีเหล็กจัดฟันเป็นสัญลักษณ์ของความน่ารักสดใสแปลกใหม่จนวัยรุ่นหลายคนดั้นด้นไปหาเหล็กจัดฟันปลอมๆ มาติดฟันให้ดูอินเทรนด์ไปกับเขาด้วย ก่อนหน้านี้ที่จะมีการทำความเข้าใจเรื่องของการจัดฟันอย่างแพร่หลายคนส่วนใหญ่มองว่าการจัดฟันเป็นไปเพื่อความสวยงามเท่านั้นทั้งที่จริงๆ แล้วคนจำนวนไม่น้อยจัดฟันเพื่อให้สุขภาพช่องปากดีขึ้นเนื่องจากฟันขึ้นผิดปกติไปจากที่ควรจะเป็น ทำให้เกิดปัญหาในการบดเคี้ยวอาหาร ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
การสำรวจในปี 1998 พบว่า 1 ใน 5 ของประชากรชาวอเมริกันมีการสบฟันผิดปกติ กว่าครึ่งของประชากรจำเป็นต้องเข้ารับการจัดฟัน ยิ่งเวลาผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ก็มีแนวโน้มที่มนุษย์เราจะต้องจัดฟันตั้งแต่วัยเด็กมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เคยสังเกตไหมว่าทำไมปู่ตาย่ายายของเรากลับดูไม่เคยมีปัญหาเรื่องฟันคุด ฟันขึ้นเบียดกันแบบคนรุ่นเรา เหตุผลไม่ได้ซับซ้อนมากนัก แต่น่าสนใจ นั่นคือ อาหารที่เรากินเข้าไปทุกวันนี่แหละซึ่งส่งผลต่อวิวัฒนาการกระดูกขากรรไกรให้มีขนาดเล็กลง
Daniel Lieberman นักชีววิทยาพัฒนาการ อธิบายเรื่องนี้ไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า ‘The Story of the Human Body’ ว่าจากการศึกษาฟอสซิลของบรรพบุรุษมนุษย์นับพันตัวอย่าง ไล่เรียงกันมาตามช่วงเวลาในยุคสมัยต่างๆ แล้วพบว่ายิ่งเป็นมนุษย์ยุคใหม่เท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องประสบกับปัญหาฟันบิดเกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกะโหลกศีรษะของมุนษย์เมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมาล้วนแต่เต็มไปด้วยปัญหาช่องปาก กระโหลกศีรษะของมนุษย์ก่อนยุคเกษตรกรรมกลับมีเพียง 5% เท่านั้นที่มีฟันคุด ขณะที่รางวัลฟันสวยแข็งแรงที่สุดตกเป็นของบรรพบุรุษนักล่ายุคหินที่ดูเหมือนจะมีชีวิตลำบากลำบนที่สุดเสียอย่างงั้น
“ใบหน้าและกรามของมนุษย์มีขนาดลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านวิธีหาอาหาร จากการล่าและสะสมมาเป็นการเพาะปลูก” Clark Larsen นักมานุษยวิทยาอธิบายว่าเครื่องมือหินที่มนุษย์เริ่มใช้เมื่อ 3.3 ล้านปีก่อน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราต้องมาจัดฟันกันอย่างทุกวันนี้ เพราะเครื่องมือช่วยตัดให้เนื้อสัตว์มีชิ้นเล็กลง ลดจำนวนครั้งในการเคี้ยว เมื่อเราไม่ต้องเคี้ยวเนื้อคำใหญ่ๆ เราก็ไม่ต้องการกรามใหญ่โตแข็งแรงทรงพลังอีกต่อไป ดังนั้น เหตุผลสำคัญก็คือ ขากรรไกรของมนุษย์เราเล็กลง เพราะเราออกแรงบดเคี้ยวอาหารน้อยลงเรื่อยๆ จากการที่บรรพบุรุษของเราเริ่มใช้เครื่องมือ เริ่มปรุงอาหารให้สุก เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชพรรณธัญญาหารด้วยตัวเอง มาจนถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้เราสังเคราะห์อาหารได้สารพัดรูปแบบตามรสนิยมการกินที่แตกต่างหลากหลาย
กรามที่เล็กลงไม่ได้ส่งผลเพียงรูปแบบการเรียงตัวของฟันที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น แต่ขากรรไกรล่างที่ไม่พัฒนาอย่างที่ควรจะเป็นยังอาจส่งผลต่อทางเดินหายใจ ซึ่งส่งผลต่อการนอนอันเป็นผลสืบเนื่องต่อไปยังโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ตามมาอีกนับไม่ถ้วนเรื่องของสุขภาพฟันเป็นเรื่องใหญ่ที่หากละเลยก็อาจลุกลามไปทำลายร่างกายส่วนอื่นๆ ด้วย
การจัดฟันจึงเป็นคำตอบสำหรับมนุษย์ยุคสมัยใหม่ ที่ต้องการอยู่ร่วมกับผลของวิวัฒนาการได้อย่างปกติสุขในเมื่อมีความต้องการจัดฟันมากขึ้น เทคโนโลยีต่างๆ เกี่ยวกับการจัดฟันก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มีการจัดฟันหลากหลายรูปแบบ ทำให้เราไม่ต้องใส่เครื่องมือเหล็กอลังการจนดูเหมือนหนังไซไฟอย่างในช่วงเริ่มแรกแต่มีรูปแบบที่เรียบง่ายขึ้น ได้ประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การจัดฟันเป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่ต้องกังวลเรื่องความสะอาด ก็คือ แปรงสีฟันที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ติดเครื่องมือจัดฟันอย่าง CURAPROX CS 5460 ortho
ร่องขนแปรงแถวกลางที่สั้นกว่าแถวอื่น 3 มิลลิเมตรถูกออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดอุปกรณ์จัดฟันโดยเฉพาะขจัดคราบแบคทีเรียและเศษอาหารได้อย่างทั่วถึงด้วยเส้นใย CUREN® ปลายมน ที่มีความอ่อนนุ่มพิเศษ เส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 0.1 มิลลิเมตร แต่อัดแน่นถึง 5,460 เส้นทำความสะอาดอุปกรณ์จัดฟัน เหงือกและฟันอย่างอ่อนโยน
เพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดของช่องปากติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.curaprox.co.th/product/cs-5460-ortho/
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://stanfordpress.typepad.com/blog/2018/05/why-cavemen-needed-no-braces.html
https://www.bbc.com/news/science-environment-15823276
https://www.123dentist.com/123-dentist-presents-history-braces/