ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘แว่นตา’ คือหนึ่งในเครื่องแต่งกายที่สามารถสะท้อนตัวตนของคนใส่ออกมาได้มากที่สุด
ทำให้เรื่องของแบรนด์และดีไซน์คือหนึ่งในปัจจัยที่หลายคนให้ความสำคัญ แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องของฟังก์ชัน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะสำหรับคนที่มีปัญหาทางสายตาแล้ว แว่นตาคือสิ่งที่ต้องสวมอยู่บนใบหน้าเกือบตลอดเวลาเช่นกัน
Silhouette คือแบรนด์แว่นตาชั้นนำจากประเทศออสเตรีย ที่โดดเด่นในเรื่องของฟังก์ชันและดีไซน์มากที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก โดยเฉพาะการออกแบบรุ่น Titan Minimal Art ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในแว่นตาไร้กรอบที่เบาที่สุดในโลก จนได้รับเลือกจากองค์กร NASA ให้นักบินอวกาศสวมใส่เพื่อทำภารกิจต่างๆ ในอวกาศ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Eyelink Vision หนึ่งในผู้นำข้าแว่นตาแบรนด์เนมชั้นนำจากต่างประเทศ จึงได้ตัดสินใจนำเข้าแบรนด์นี้มายังตลาดเมืองไทย
ชวนไปพูดคุยกับคุณประพันธ์ ผดุงเกียรติสกุล แห่ง Eyelink Vision และ Mr. Jonas Nellemann Sorensen แห่ง Silhouette Group ถึงความร่วมมือกันในการทำการตลาดที่สามารถกระตุ้นตลาดแว่นตา functional ให้เติบโตได้ รวมไปถึงรายละเอียดของ Titan Minimal Art 2024 คอลเลกชันฉลองครบรอบ 25 ปีที่เพิ่งเปิดตัว
อยากให้เล่าถึงตลาดแว่นตาในเมืองไทย ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ตลาดแว่นตาในเมืองไทย ภาพรวมโดยเฉพาะหลังจากโควิด-19 มา มีการเจริญเติบโตโดยเฉพาะปี 2022 มีการเติบโตที่สูงมาก ผมมองว่าเนื่องจากมีการล็อกดาวน์มาหลายปี พอประเทศไทยเปิดประตูเรียบร้อย ทำให้มีการเจริญเติบโตที่สูงกว่าปี 2019 หรือก่อนโควิดมาก ทั้งร้านค้าปลีกผู้นําเข้า ก็มียอดขายเจริญเติบโตที่ดี แต่พอมาปี 2023 ตัวเลขเริ่มตกลงมา เพราะว่าตลาดเข้าสู่สภาวะปกติ คือผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อแว่นตา ทั้งกลุ่มแฟชันหรือกลุ่มสายตา จะเป็นพรีเมี่ยมแบรนด์เนมหรือว่าเป็น House brand พอเราเดินเข้าไปร้านแว่นก็จะมีประมาณ 2-3 ราคาให้เลือก ซึ่งเป็นอีกตลาดหนึ่งที่มีการเจริญเติบโตมากขึ้น ส่วนในส่วนของ Eyelink Vision เอง เราเป็นผู้นําเข้าแบรนด์แว่นตา เพราะฉะนั้นเราจึงดูใน segment ของแบรนด์เนมเป็นส่วนใหญ่
สัดส่วนระหว่างแบรนด์ที่นำเข้ามา กับ House brand ต่างกันมากน้อยขนาดไหน
ณ ปัจจุบัน สัดส่วนของแบรนด์เนมกับ House brand ผมมองว่าแบรนด์เนมยังมีประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของตลาด ส่วนกลุ่มแว่นตา House brand ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มแว่นตาทั่วไปอีก 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในมูลค่าทั้งหมด การนําเข้าถือว่าใหญ่ที่สุดอยู่ดี เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การทําตลาด ของผู้นําเข้าอย่างผม ว่าเราจะทําตลาดยังไงให้กับกลุ่มแว่นตาแบรนด์เนม อย่างน้อยรักษาให้คงที่ไว้ ให้ไซส์ของตลาดไม่เล็กไปมากกว่านี้ เพราะตอนนี้กลุ่ม House brand กำลังเติบโตและใหญ่ขึ้นแน่นอน
ในมุมมองส่วนตัว มองว่าคนไทยส่วนใหญ่เลือกแว่นตาจากปัจจัยอะไรบ้าง
กลุ่มผู้บริโภคแว่นตา สามารถแยกได้ตามอายุ ตามกำลังซื้อ และยังสามารถแยกตามไลฟ์สไตล์ได้อีก ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคที่เริ่มจะใส่แว่นตาเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะวัยรุ่นที่เริ่มหาแว่นตามาใส่ เพราะว่าสายตาเริ่มสั้น หรือคนที่ไม่เคยมีแว่นตามาก่อน จะถูกกระตุ้นด้วยราคาที่มันถูก อาจจะยังไม่รู้มาก่อนว่าแว่นตาจริงๆ แล้วมีความหลากหลายมาก ฉะนั้นผู้บริโภคที่ยังใหม่และไม่เคยใส่แว่นตาอาจจะเดินเข้าร้านเหล่านี้ เดินเข้าไปก็ซื้อได้เลย รอรับได้เลย แต่ผู้บริโภคเหล่านี้พอหลังจากเคยได้ใส่ไปสักพัก 2-3 ปี ก็เริ่มมีข้อมูลแล้ว ว่าแว่นตามันมีมากกว่านี้ มีแว่นแบรนด์เนม มีการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งแบบ functional และ fashion เพราะฉะนั้นที่ถามว่าผู้บริโภคใช้ปัจจัยอะไรเป็นการคัดเลือก ขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่เคยใส่หรือไม่เคยใส่ และเป็นปัจจัยทางด้าน purchasing power ว่าเขามีกําลังซื้อขนาดไหน ส่วนสินค้าพวกกลุ่มแบรนด์เนม ส่วนใหญ่จึงเป็นผู้บริโภคที่เคยใส่แว่นตามาก่อนแล้ว
พอเห็นความต้องการของผู้บริโภคเป็นแบบนี้แล้ว Eyelink Vision มีวิธีทำการตลาดยังไง
Eyelink Vision เราเป็นผู้นําทางด้านแว่นตา functional มาก่อนเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย เราเริ่มนําเข้ามาตั้งแต่ประมาณปี 1997 ตอนนั้นแว่นตา functional มีแค่ประมาณแค่ไม่กี่แบรนด์ในโลก เราก็เป็นผู้นําเข้ามาและมีการทําตลาดมาเรื่อยๆ จนประเทศไทยเป็นตลาดที่มีแว่นตา functional ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เพราะฉะนั้นผู้บริโภคที่คนจะเดินเข้าไปร้านแว่นตาจะเลือก functional หรือ fashion ถ้าไม่มีข้อมูลมาก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นทางร้านที่ช่วยเชียร์ แต่ถ้าเกิดมีข้อมูลมาก่อน เช่น เพื่อนใส่อยู่ หรือว่าเคยเห็นโฆษณาแว่นตายี่ห้อนี้ ก็จะมีความคิดอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นจึงมีหลายปัจจัยที่ผู้บริโภคจะเลือกซื้อ
ตอนที่นําเข้ามาครั้งแรกเมื่อปี 1997 ตลาดไทยยังไม่เคยมี functional มาก่อน ตอนนั้นก็คือเข็นครกขึ้นภูเขาแล้ว เพราะว่ามันเป็นยุคใหม่ของวงการ แล้วจะทํายังไงให้ผู้บริโภครับแว่นตากลุ่มนี้ได้ ก็ต้องใช้เวลาให้ข้อมูล ให้การศึกษาให้กับผู้บริโภค รวมถึงเถ้าแก่และร้านแว่นตาเอง จนมาถึงปัจจุบัน แว่นตา functional ในเมืองไทยเป็นที่ยอมรับมากขึ้นแล้ว ถามว่าเราคัดเลือกยังไง เราคัดเลือกจากตอนที่เราเห็น แล้วรู้เลยว่าอันนี้จะเวิร์กไม่เวิร์ก ปัจจัยแรกเลยคือดูว่ามีชื่อเสียงหรือเปล่า สองคือดูเรื่องดีไซน์และวัสดุที่ดี สามคือดู know-how หรือเทคโนโลยีในการออกแบบแว่น ว่าเขาจดลิขสิทธิ์หรือเปล่า หรือไปก๊อปปี้ใครมาหรือเปล่า ซึ่งเป็นจากประสบการณ์ที่เราเคยมีมา ปัจจุบันเราก็นําเข้ามาหลายแบรนด์มาก ทุกแบรนด์ที่เรานําเข้ามามี know-how ของเขาเอง จดลิขสิทธิ์ มีเอกลักษณ์ของตัวเองทั้งหมด และที่สำคัญคือต้องไม่มาแย่งลูกค้าหรือฆ่ากันเอง ทุกแบรนด์ต้องมี positioning ในการขายของตัวเอง
สำหรับแบรนด์ Silhouette ที่นำเข้ามา มองเห็นอะไรในแบรนด์นี้บ้าง
ตอนเมื่อประมาณปี 2000 ผมเจอแบรนด์นี้ในสื่อครั้งแรก ผมก็เอะใจ แว่นนี้มันแปลกดี ผมไปเจอตอนเปิดตัวที่ต่างประเทศ ก็ยิ่งรู้สึกว่าแปลก เพราะปกติแว่นตา ขาแว่นกับหน้าแว่นจะต้องมีบานพับ แต่นี่เป็นเส้นลวดเส้นเดียวที่โค้งติดตรงที่เลนส์ มีการเจาะที่เลนส์ แล้วก็มาเป็นชิ้นเดียวอย่างนี้ จริงๆ แว่นแบบกรอบเจาะเมืองไทยมีนะ เป็นแว่นที่มีมานานมากแล้ว คือเจาะรูเข้าไปในเลนส์เพื่อให้มีหมุดยึดหรือมีสกรูยึด แต่อันนี้คือเป็นแว่นกรอบเจาะเหมือนกัน แต่ไม่มีสกรู คือ Silhouette เป็นแบรนด์เก่าแก่ตั้งแต่ปี 1964 แต่คอลเลกชันรุ่นนี้ที่จะพูดถึง เขาผลิตมาเมื่อประมาณปี 2000 นี้เอง ถามว่าทําด้วยอะไร มันทำมาจากไทเทเนียม ทำให้ยิ่งเบาเข้าไปใหญ่ และวัสดุไทเทเนียมคือจะไม่กัดผิวหน้าและไม่เป็นสนิม ความน่าสนใจคือเขาผลิตที่โรงงานของตัวเอง ในปีหนึ่งผลิตไปมากถึง 12 ล้านกว่าอัน คือทุกๆ 4-5 วินาทีจะมีแว่น Silhouette ที่ขายทั่วโลกออกไปหนึ่งอัน เพราะฉะนั้นเราต้องรีบคว้า รีบไปคุยกับเขา แต่ตอนนั้นบริษัทเรายังเล็กอยู่ แล้วก็เราเพิ่งนำเข้าแว่นตาแค่แบรนด์เดียวเอง ก่อนหน้าคือแบรนด์ LINDBERG ซึ่ง Silhouette เป็นแบรนด์ที่สองที่เรานำเข้ามา ตอนนั้นเขาเองก็ไม่ใช่บริษัทใหญ่โต ยังไม่ได้มีผู้นําเข้าที่เป็นจริงเป็นจังในเมืองไทย เขาเห็นเราสนใจ ก็เลยโอเคมาแต่งงานจับมือกัน จนปี 2001 เป็นปีแรกที่เริ่มนําเข้ามาทําตลาดในไทย คือ Titan Minimal Art เป็นรุ่นที่สร้างยอดขายอันดับหนึ่งของ Silhouette จนถึงปัจจุบันเลย
อะไรความยากในการทําตลาดในเมืองไทย สำหรับแว่นประเภทนี้
คือความยากของมันมีอยู่เยอะเลย ทํายังไงผู้บริโภคยอมรับแว่นตา functional ได้ เพราะตอนนั้นมีแค่แบรนด์ LINDBERG กับ Silhouette เท่านั้น เขามองว่ายังมองว่า แว่นตามีส่วนประกอบแค่ 3 ชิ้นเอง 1 ชิ้นทรงสะพาน ขาอีก 2 ชิ้น ราคาหน้าร้านขายหมื่นต้นๆ เลยเหรอ ดูไม่สมเหตุสมผลเลย เพราะถ้าขายแว่นมีกรอบ แล้วมีโลโก้ที่ขาแว่น ราคา 10,000 – 20,000 บาท ยังขายง่ายกว่าอีก เพราะแว่นที่มีกรอบ มีโลโก้ สามารถขายด้วยตัวมันเองได้ ยิ่งแปะโลโก้แพงๆ เข้าไปก็ยิ่งขายง่าย ข้อเสียอย่างหนึ่งของแว่นตา functional คือไม่มีโลโก้ให้เห็น แล้วผู้บริโภคที่จะซื้อเขาก็ไม่รู้ว่านี่ยี่ห้ออะไร เพราะยี่ห้อมันอยู่ข้างในขา ซึ่งจริงๆ โลโก้ของ Silhouette ก็คือดีไซน์ที่เขาจดลิขสิทธิ์แล้ว เพราะฉะนั้นคนที่ใส่แว่น Silhouette รุ่นนี้ หรือคนขายก็จะดูรู้ว่านี่คือแว่นตายี่ห้ออะไร เพราะว่าเป็นแว่นตาที่เลียนแบบไม่ได้ ตรงนั้นที่เราจะต้องก้าวข้ามไปให้ได้คือการให้ข้อมูล ให้ความรู้ ว่าสิ่งที่คุณซื้อ คุณกำลังซื้อดีไซน์ คุณซื้อการใช้งานกับ functional เพราะแว่นตามากับการใช้งาน คือแว่นที่ใส่แล้วเบา ใส่สบาย ใส่แล้วเหมือนไม่ได้ใส่ ไม่ต้องกลัวว่านั่งทับแล้วจะแตกหัก คุณเลือกเพราะความเป็น functional ของมัน คุณไม่ได้เลือกมันเพราะภาพลักษณ์ของแบรนด์ เราต้องฟีดข้อมูลตรงนี้ให้ผู้บริโภคได้ทราบ ทําเทรนนิ่งกับดีลเลอร์และพนักงาน เพราะว่าพนักงานเป็นด่านแรกที่เจอผู้บริโภค เราต้องให้ข้อมูลเขาเยอะๆ ว่า ถ้าขายแบรนด์นี้ได้ ผู้บริโภคใส่ไปแล้วเขาชอบ เขาจะพาเพื่อนมาซื้ออีกแน่นอน ความหินของคือตรงนี้แหละ ทํายังไงให้ผู้บริโภคยอมรับให้ได้ กว่าจะก้าวข้ามมันได้ ก็ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีเลย
สำหรับรุ่น Titan Minimal Art 2024 ล่าสุด มีความพิเศษอย่างไร
สำหรับรุ่น Titan Minimal Art 2024 ที่เพิ่งเปิดตัวเป็นเวอร์ชันที่ 4 แล้ว เป็นรุ่นครบรอบ 25 ปี ซึ่งรุ่นนี้เป็น Best Seller Collection ของเขา เป็นแว่นตา functional กรอบเจาะที่มียอดขายอันดับ 1 ของโลก คือมีการเปลี่ยนแปลงการดีไซน์ การใช้วัสดุ ซึ่งบางทีถ้าผู้บริโภคยังไม่เคยเห็นแว่นตารุ่นนี้มาก่อนอาจจะมองไม่ออก แต่ถ้าเป็นดีลเลอร์จะมองออกว่ามันแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้ายังไง อย่างสมมติคุณเอาไอโฟนมาเปรียบเทียบกัน รุ่นประมาณสัก 2 ปีก่อนบางทีอาจจะมองภายนอกไม่ออกเหมือนกัน อาจจะไปเพิ่มสเปกข้างใน สำหรับ Silhouette ถ้าเห็นรุ่นแรกสุดจนถึงรุ่นปัจจุบันก็แทบจะแยกไม่ออกเหมือนกัน แต่จะมีดีเทลที่เราดูออกว่านี่คือเวอร์ชันล่าสุด
มองตลาดแว่นตา functional ในไทย เป็นอย่างไรต่อไปใน 2-3 ปีหลังจากนี้
ตลาดแว่นตาในกลุ่ม functional ในเมืองไทย ผมคิดว่ายังมีโอกาสเติบโตได้ประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เพราะว่าตอนนี้ผู้บริโภคคนไทยยอมรับแว่นตาสไตล์ functional ได้แล้ว โดยเฉพาะระดับที่ C ขึ้นไป เขารู้จัก ic!berlin รู้จัก Silhouette กันดีแล้ว อย่างต่างชาติก็มองคนไทย sophisticated มากๆ แล้ว ถ้าไปเปรียบเทียบกับผู้บริโภคในย่านอาเซียนด้วยกันเอง เขายังติดความเป็นแบรนด์อยู่ แต่ตอนนี้คนไทยได้ก้าวข้ามตรงนั้นไปเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นอนาคตยังมองว่ายังเติบโตไปได้อีกเยอะ
อยากให้เล่าถึงประวัติของแบรนด์ Silhouette ให้ฟังคร่าวๆ
ปีนี้เป็นปีที่สำคัญมากสำหรับแบรนด์ Silhouette เพราะเราเริ่มก่อตั้งแบรนด์นี้มาตั้งแต่ปี 1964 หรือสักเมื่อ 60 ปีที่แล้วได้ โดยเริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัวเล็กๆ ในเมืองลินซ์ ประเทศออสเตรีย ในยุโรป ก่อตั้งโดย อาร์โนลด์ ชมิดต์ (Arnold Schmied) และแอนนาลิส (Anneliese Schmied) ภรรยาของเขา ซึ่งตอนนี้ก็สืบทอดมาถึงรุ่นที่สามแล้ว ตอนนี้บริษัทบริหารโดยคุณไมเคิล ชมิดต์ (Michael Schmidt) ซึ่งเป็น CMO ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ตอนนี้เราเป็นบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานมากกว่า 1,000 คนในทุกทวีปทั่วโลก เห็นได้ชัดว่าเรามาได้ไกลมาก ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมเริ่มทำงานในอุตสาหกรรมแว่นตาใหม่ๆ ตอนนั้นผมทำงานให้กับบริษัทแบรนด์แว่นตาชื่อดังของอิตาลี ตอนนั้นต้องดูแลแบรนด์นี้ทั่วโลกเลย และเมื่อผมต้องเดินทางไปทั่วโลก ทุกครั้งที่ผมอยู่บนเครื่องบินและเปิดนิตยสารผมจะต้องเห็นโฆษณาของแว่นตาแบรนด์ Silhouette ทุกครั้ง และยังเป็นแบรนด์ที่ได้รับการแนะนำโดยองค์กร NASA คนที่ทำงานที่นั่นรวมถึงนักบินอวกาศสวมแว่นตาของเรา และเขาก็ได้พูดถึงด้วยว่าแว่นตาของเรามันดีอย่างไรบ้าง และมันช่วยเขากับการชีวิตและทำงานในอวกาศได้จริงๆ
อะไรคือความโดดเด่นที่สุดของ Titan Minimal Art 2024 ซึ่งถึงเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
เรียกว่าเป็นรุ่นไฮไลต์ของแบรนด์เราเลย ซึ่งรูปลักษณ์จะแตกต่างเล็กน้อย จากรุ่นแรกที่พัฒนามาเมื่อ 25 ปีที่แล้ว จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ Titan Minimal Art 2024 คือมีน้ำหนักเบามาก แต่ก็ทนทานมากด้วย ในรูปแบบไร้ขอบ และมีน้ำหนักน้อยกว่า 2 กรัม โดยตัวกรอบทำจากไทเทเนียมที่มีน้ำหนักเบาที่สุด แน่นอนว่ามันช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับหน้าของคุณได้อีกด้วย และขณะใส่บางทีคุณอาจไม่ทันรู้สึกด้วยซ้ำว่าคุณกำลังใส่แว่นตาอยู่ สำหรับคนที่ต้องใส่แว่นตาอยู่เสมอ พอได้มาลองสวมแว่นรุ่นนี้จะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนเลย จุดเด่นของแว่นรุ่นนี้คือเป็นแบบไร้บานพับ ไร้สกรู ไร้น็อต ซึ่งทำให้มันยิ่งมีน้ำหนักเบา เมื่อคุณอยู่ในอวกาศ เมื่อแว่นของคุณมีสกรูหรือน็อต ก็อาจมีความเสี่ยงที่สกรูหรือน็อตของแว่นจะหลวม แล้วอาจจะหลุดออกมาได้ ซึ่งมันอาจจะลอยออกไปที่ไหนสักแห่งในสถานีอวกาศ หรืออาจจะกระเด็นไปสร้างผลกระทบต่อยานอวกาศได้ และเนื่องจากที่แว่นเป็นแบบไร้ขอบ จึงทำให้นักบินอวกาศสามารถมองเห็นได้ชัดเจนมากในทุกๆ องศา และไม่โดนกรอบแว่นเป็นจุดบอดบังสายตาได้
เหมือนว่าเรื่องของความเบาจะเป็นสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญมากที่สุดใช่ไหม
หลายๆ คนอาจคุ้นเคยกับการใส่แว่นแบรนด์เนมจากดีไซเนอร์ที่มักจะเป็นแว่นตาแบบฟูลเฟรม ซึ่งแว่นแบบนี้จะมีน้ำหนักอยู่ คนที่ไม่ใส่แว่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องใส่แว่นอยู่ตลอด ถ้าลองเฉลี่ยแล้ว คือคุณจะต้องใส่แว่นมากถึง 15-16 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งแว่นแบบเดิมอาจจะเป็นภาระตอนใส่ในที่สุด เพราะหน้าของคุณต้องแบกรับน้ำหนักของแว่นตาเอาไว้ อาจทำให้รู้สึกปวดหัวได้ ซึ่งนี่เป็นเสียงจากลูกค้าที่ประสบปัญหาจริงๆ แต่เมื่อได้มาลอง Titan Minimal Art ต่างประทับใจและชื่นชมความเบาของมัน ทำให้ไม่อยากใส่แว่นแบบอื่นอีกเลย ไม่ใช่แค่ Titan Minimal Art เท่านั้น แบรนด์ Silhouette ของเรายังมีคอลเลกชันดีๆ อีกมากมาย ซึ่งทุกรุ่นล้วนแล้วแต่เบา สวมใส่สบาย เพราะความเบานั้นเป็นส่วนหนึ่งของ Brand DNA ของเราเลยก็ว่าได้ หากลองดูสโลแกนปัจจุบันของเราคือ Empowered by Lightness สิ่งที่ผมหมายถึง คือหากคุณสวมแว่นแบรนด์ Silhouette คุณจะรู้สึกได้เลยว่า เพราะความเบานี่แหละที่ทำให้คุณทำสิ่งต่างๆ ที่ทรงพลังได้ เช่น แว่นเบาแล้วไม่หนักหน้า ไม่ปวดหัว สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จมากขึ้น และที่สำคัญ 80 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตเป็นงาน Handcraft ที่ผลิตในออสเตรีย นอกจากนี้เรายังมีชื่อเสียงในด้านการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และจริงๆ แล้วเมื่อคุณดูที่ดีไซน์ของแว่นตา Silhouette มันจะดูเรียบง่ายมาก อาจดูเหมือนค่อนข้างง่ายเกินไปสำหรับบางคน แต่ในการผลิตแว่นตาของเรา ซึ่งผมบอกเลยว่าเป็นการสร้างสรรค์ผลงานงานศิลปะเลยก็ว่าได้ เพราะถึงจะดูเรียบง่าย มินิมอล แต่จริงๆ แล้วต้องใช้ขั้นตอนการผลิตถึง 264 ขั้นตอนเลยทีเดียว ในกระบวนการผลิตจึงเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างยุ่งยาก และไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครๆ เข้าใจ
มองการเข้ามาทำการตลาดในไทยไว้อย่างไร แตกต่างจากประเทศอื่นอย่างไร
ในบางประเทศ เรามีสาขาเป็นของตัวเองเลย แต่ในตลาดอื่นๆ อีกหลายประเทศ เราทำงานร่วมกับพันธมิตรในการจัดจำหน่าย อย่างเช่นในไทย เรามีพันธมิตรในการจัดจำหน่ายที่นี่ตั้งแต่เรามาทำตลาดในไทย พันธมิตรปัจจุบันของเราที่เราร่วมงานด้วยก็คือ Eyelink Vision คือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกันมากว่า 23 ปีแล้ว และเรารู้สึกดีใจมากที่ได้เป็นพันธมิตรร่วมกันกับ Eyelink Vision เพราะเห็นได้ชัดว่าคุณประพันธ์เข้าใจตลาดในประเทศไทยเป็นอย่างดี เขารู้และเข้าใจว่าการนำแบรนด์แว่นตาเข้าประเทศไทยมันมีความยากอยู่ ซึ่งเราเองก็มองว่าเราทำสินค้าออกมาเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าที่สวมใส่แว่นตาของเรา เราไม่ได้ขายแว่นตาที่โดดเด่นเพียงแค่ดีไซน์ ที่เน้นแค่แบรนด์หรือโลโก้ แต่เราเป็นแบรนด์ที่แว่นตาใช้งานได้จริง เราจึงต้องการพันธมิตรที่เข้าใจในสินค้าและแบรนด์ของเรา สิ่งที่ Eyelink Vision มีเหนือไปกว่านั้นคือพวกเขาเก่งในการฝึกอบรมและให้ความรู้แก่พันธมิตรผู้ค้าปลีกของพวกเขาให้สามารถเข้าใจในแบรนด์และสินค้าของเราอย่างแท้จริง และทั้งหมดนี้มาจากความเป็นผู้นำและความเป็นมืออาชีพในวงการนี้อย่างคุณประพันธ์ ซึ่งไม่ใช่แค่แบรนด์ Silhouette ของเรา แต่ Eyelink Vision ยังมีแบรนด์อื่นๆ ด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงรู้จักแบรนด์ต่างๆ อย่างแท้จริง และรู้จักพันธมิตร รู้จักลูกค้าและผู้บริโภคเป็นอย่างดี
อยากฝากอะไรถึงคนไทยที่กำลังมองหาแว่นตาคุณภาพ
ผมคิดว่าลูกค้าคนไทยค่อนข้างซับซ้อน เพราะนอกจากเรื่องของดีไซน์แล้ว พวกเขาต้องการสินค้าที่มีคุณภาพด้วย ซึ่งชัดเจนว่าแว่นตา Silhouette ของเราตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน ถึงแม้สินค้าของเราจะมีราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ถ้าลองดูคุณภาพของสินค้าจะรู้เลยว่าสินค้าของเราใช้ได้นานมาก ซึ่งมันไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นที่อาจดูเหมือนถูก แต่สินค้าที่ถูกกว่านั้นคุณจะต้องเปลี่ยนหลายครั้ง เพราะคุณภาพของมันอาจไม่ได้ทนทานพอที่จะให้ใช้ได้อย่างยาวนาน ในขณะที่โครงสร้างของแว่นตาเราก็ออกแบบมาให้เบา ไร้กรอบ คุณจึงสามารถสวมใส่ได้เป็นเวลานานโดยที่ไม่เป็นภาระให้กับใบหน้าของคุณ ซึ่งมันก็ดีต่อสุขภาพของคุณในระยะยาวด้วย ผมมีลูกค้าคนนึงที่ใส่แว่น Silhouette อันเดิมมากว่า 8 ปีแล้ว แล้วก็ยังคงใส่อยู่ ไม่ได้เปลี่ยน ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้ดีในแง่ของยอดขายนักหรอก เพราะถ้ามันทนทานใช้ได้นาน ลูกค้าก็ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ แต่ที่เหนือไปว่าเรื่องของยอดขาย นั่นคือความพึงพอใจของลูกค้า
ดังนั้นเราจึงผลิตแว่นตาที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ มีความคงทน มีคุณภาพดีที่สุด และเรายังให้บริการหลังการขายที่ดีที่สุดอีกด้วย ถ้ามีปัญหาอะไร ก็มาหาเราได้เลย เรายินดีช่วยเหลือและบริการเสมอ