เหมือนตอนนี้รู้สึกป่วยๆ อะ ดูจากสมาร์ตวอทช์แล้วทุกอย่างปกติ แต่ลักษณะทั่วไปไม่มีแฟน
จริงอยู่ที่ Work From Home ทำให้เราห่างไกลโควิด-19 แต่จิตใจตอนนี้เข้าใกล้โคม่ากันหมดแล้ว เพราะจะไปไหนมาไหนก็แสนลำบาก แถมยังต้องใส่แมสก์ตลอดเวลาอีก แบบนี้เวลาคุยกับคนอื่นใครเขาจะเห็นหน้าตาดีๆ ของเรากันนะ
ไม่แปลกที่โควิดจะเปลี่ยนทุกอย่าง ยกเว้นสถานะของเราที่ยังโสดต่อไป
เอาอย่างนี้แล้วกัน ระหว่างที่รอให้สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น เราหันมาดูแลตัวเองกันก่อนดีกว่า อย่างการใส่ GARMIN SMARTWATCH ที่เปรียบเสมือนคนที่คอยดูแลเคียงข้างเราตลอด 24 ชั่วโมง เพราะเทคโนโลยีจาก GARMIN จะเผยความในใจจากสุขภาพของคุณได้แบบไม่ต้องเดา
ใส่ GARMIN SMARTWATCH แล้วอุ่นใจ เหมือนมีคนดูแลอยู่ใกล้ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ลืมตาตื่นไปถึงตอนเข้านอน
แต่ไหนแต่ไรชอบมีคนบอกว่า “ถ้าไม่รักตัวเอง เราก็ไปดูแลคนอื่นไม่ได้” ก็จริงนะ เพราะรักดีๆ เริ่มต้นที่รักตัวเองให้เป็นก่อน แค่พูดก็ฟังดูง่ายอยู่หรอก แต่การลงมือปฏิบัติเป็นเรื่องยากเสมอ
ฉะนั้นสำหรับคนที่ขาดเวลาในการดูแลตัวเอง ตัวช่วยอย่าง GARMIN SMARTWATCH ถือเป็นเป็นจุดเริ่มต้นดีๆ เพราะความสามารถในการมอนิเตอร์และรวบรวมข้อมูลในร่างกายออกมาเป็นรีพอร์ต ทำให้เรารู้แนวโน้มด้านสุขภาพและวางแผนดูแลสุขภาพของเราได้ ไม่ว่าสุขภาพจะเป็นยังไง ร่างกายผิดปกติตรงไหน GARMIN SMARTWATCH ก็จะคอยบอกเราด้วยความห่วงใยเสมอ ไม่ต่างอะไรกับคนรู้ใจที่คอยอยู่เคียงข้างเราตลอด 24 ชั่วโมง
บอกรักสุขภาพด้วย “GARMIN 5 KEY INDICATORS”
คำว่ารักอาจเป็นคำที่พูดยาก หลายคนเลยบอกให้ดูที่การกระทำมากกว่า ซึ่งสำหรับ GARMIN SMARTWATCH จัดเต็มการกระทำที่ตรวจวัด ติดตาม บันทึกความผิดปกติของร่างกายได้อย่างละเอียดแม่นยำแบบวินาทีต่อวินาที แถมแบตเตอรี่ยังอึดช่วยให้การมอนิเตอร์ไม่มีสะดุด ทำให้เราเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพได้อย่างรอบด้านและถูกต้องแม่นยำ ผ่านตัวชี้วัดด้านสุขภาพ 5 อย่าง ดังนี้
1. ค่าออกซิเจนในเลือด (Pulse Ox Blood Sensors)
เพราะความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดเกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยตรง โดยระดับที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 95-100% ถ้าน้อยกว่านั้นอาจหมายถึงกำลังเกิดความผิดปกติภายในระบบหายใจของเรา ทางที่ดีคือควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยในเชิงลึก เพราะคนเราถ้าขาดออกซิเจนก็คือตาย แต่ถ้าขาดคนข้างกายก็คือโสดนะเธอ
2. อัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Tracking)
นอกจากหัวใจจะเป็นตัวแทนของความรัก มันยังเป็นศูนย์กลางและเป็นตัวขับเคลื่อนอวัยวะต่างๆ ในร่างกายอีกด้วย นั่นก็เพราะผลวิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจ สามารถบ่งบอกสภาพต่างๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เวลาเจอเธอแล้วหัวใจพองโต กระสับกระส่าย คล้ายว่าจะเป็นอาการของความรัก หรือว่ากำลังมีไข้ใจกันนะ เพราะถ้าเรากำลังป่วย อัตราการเต้นของหัวใจก็สูงตาม หรือระหว่างออกกำลังกายก็สามารถบ่งบอกความหนัก-เบา เพื่อหาจุดที่เหมาะสมสำหรับออกกำลังกายนั่นเอง
3. การนอนหลับ (REM Sleep Monitoring)
คุณภาพการนอนที่ดีทำให้เกิดระบบภูมิคุ้มกันที่ดีเช่นกัน โดยตามปกติแล้วเราจะแบ่งการนอนออกเป็น 2 ช่วง คือ หลับตื้นและหลับลึก และแน่นอนว่าการหลับลึกเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพราะร่างกายจะซ่อมแซม เสริมสร้างกระดูก กล้ามเนื้อ และภูมิคุ้มกัน ซึ่งปกติผู้ใหญ่ควรมีช่วงหลับลึกอยู่ที่ประมาณ 15% – 25% ของการนอน ในช่วงนี้อัตราการเต้นของหัวใจที่ควรอยู่ในระดับต่ำและสม่ำเสมอ แต่แปลกมากเลยที่นอนข้างเธอทีไร หัวใจของเราเต้นเร็วทุกที
4. อัตราการหายใจ (Respiratory Tracking)
เชื่อไหมว่าอัตราการหายใจที่ต่ำบ่งบอกถึงสภาพร่างกายที่แข็งแรงกว่า เพราะปกติแล้วอัตราการหายใจควรอยู่ที่ 12 – 20 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น ซึ่งอารมณ์และความเครียดจะส่งผลต่ออัตราการหายใจ แต่อัตราการหายใจที่เหมาะสมก็จะช่วยลดความตึงเครียด เพิ่มสมาธิ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับได้เช่นกัน ถ้าอย่างนั้นเรามาใช้ลมหายใจร่วมกันเถอะนะ
5. ระดับความเครียด (Stress Monitoring)
ความเครียดมีผลต่อสมอง แต่ถ้ารักคนมีเจ้าของอาจมีผลต่อหัวใจ เอ่อ… แล้วก็เครียดด้วยแหละ
อย่างที่เรารู้กันว่าสรรพคุณของความเครียดส่งผลร้ายต่อสุขภาพขนาดไหน โดยเฉพาะข่าวคราวในช่วงนี้ที่ทำให้หลายคนเกิดความเครียดจนเสียสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้ ซึ่งความเครียดสามารถตรวจจับได้ในระดับ 0-100 ผ่านข้อมูลจากความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ แล้วแบ่งได้อีกตั้ง 4 ระดับ 0-25 คือ เครียดระดับต่ำ เหมือนเพิ่งเริ่มไปแอบชอบเขา 26-50 เครียดระดับกลาง เริ่มมีอาการไข้ใจ ทนไม่ไหวตกหลุมรักเขาถี่ๆ 51-75 เครียดระดับสูง เก็บความรักไว้ไม่ไหว ต้องวางแผนเอาตัวเข้าไปอยู่ใกล้ๆ 76-100 เครียดระดับสูงมาก แอบชอบมาตั้งนานนานเพิ่งไปรู้ว่าเขามีเจ้าของแล้ว
ถ้าเช็กจนรู้ตัวแล้วว่าเครียด ก็ต้องหาเวลากลับมารักตัวเองบ้าง
การมีข้อมูลสุขภาพในมือ ช่วยสนับสนุนการรักษาได้ทันท่วงที
ตัวชี้วัดทั้ง 5 เป็นปัจจัยสำคัญในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพ ข้อมูลจาก GARMIN SMARTWATCH จะช่วยให้เรารู้และเข้าใจแนวโน้มสุขภาพของตัวเอง ที่สำคัญยังสามารถนำข้อมูลนี้ไปปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประกอบการวินิจฉัยโรคหรือตรวจสุขภาพในเชิงลึกต่อไป อีกทั้งยังใช้วางแผนดูแลสุขภาพได้ด้วย ทำให้แพทย์มั่นใจว่าวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ ตรงจุด และทันท่วงที
ฉะนั้นการตรวจเช็กและบันทึกข้อมูลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอแม้ในขณะหลับ ก็จะทำให้เรามีข้อมูลอันล้ำค่าอยู่ที่ข้อมือตลอดเวลานั่นเอง ซึ่งการที่จะติดตามได้ขนาดนี้ต้องอาศัยพลังแบตเตอรี่ที่อึดพอสมควร
GARMIN SMARTWATCH จึงเป็นมากกว่านาฬิกาสุขภาพทั่วไป* เปรียบเสมือนคนดูแลที่อยู่ใกล้ๆ เรา แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยที่มีให้กัน นับเป็นตัวช่วยด้านสุขภาพที่ดีก่อนที่เราจะออกไปเจอมนุษย์ตัวเป็นๆ ฉะนั้นถ้ารักสุขภาพให้ออกกำลังกาย แต่ถ้าอยากโดนรักตายให้ใส่ GARMIN SMARTWATCH นะทุกคน
ทำความรู้จัก GARMIN SMARTWATCH เพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3gK9b6w
*ทั้งนี้ GARMIN ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และมีจุดประสงค์เพื่อใช้ในสวมใส่ออกกำลังและกิจกรรมเท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับใช้อ้างอิงในการวินิจฉัย รักษา บรรเทา ป้องกันความเจ็บป่วยหรือโรคต่างๆ ผู้ใช้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากมีอาการผิดปกติ