เพราะทุกวันนี้ ชั่วโมงการทำงานสวนทางกับชั่วโมงของความสุข
หลายคนอาจคิดว่าทนทำงานเหนื่อยรวดเดียวค่อยรอความสุขก้อนโตตอนท้าย แต่เหนื่อยไหมล่ะกับการที่ต้องมานั่งรอคอยเวลา กว่าโบนัสปลายปีจะออก กว่าจะได้มีบ้านของตัวเองสักหลัง หรือกว่าจะได้มีคนรักถูกสเป็ก บางทีก็ไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าความสุขที่ใฝ่ฝันจึงจะมาถึงมือ
แต่เชื่อไหมว่า การสะสมความสุขก็เหมือนกับการหยอดกระปุก เติมความสุขเล็กๆ วันละน้อย ในใจก็สุขเป็นกอบเป็นกำขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่มีผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าเรื่องนี้เป็นจริงไหม แต่ก็มีตัวเราเองนี่แหละที่เป็นผู้ยืนยันได้ว่า การสร้างเสริมความสุขให้กับตัวเองแม้เพียงวันละเล็กน้อยก็ไม่ทำให้เราต้องนั่งฝันนั่งรอสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เริ่มต้นแบบง่ายๆ ลงมือทำแบบง่ายๆ ด้วย 8 วิธีสร้างความสุขในทุกวัน
EVERYDAY I LOVE MY LIFE
หลังผ่านความเหน็ดเหนื่อย มีเรื่องให้หงุดหงิดใจกับสิ่งรอบตัวสะสมมาตลอดทั้งวัน ก็ถึงเวลากลับมาดูแลหัวใจของตัวเองด้วยการคิดถึงความสุขเล็กน้อยที่เกิดขึ้นระหว่างวัน ซึ่งเราอาจจดจ่อกับมันอยู่แค่ชั่วขณะที่เกิดขึ้น แล้วก็เผลอหลงลืมมันไป
ฮาวทูง่ายที่สุดสำหรับเรื่องนี้ คือการถือโอกาสใช้เวลาก่อนนอนค่อยๆ คิดทบทวนกับตัวเองดูว่า วันทั้งวันฉันทำอะไรไปบ้าง เก็บเกี่ยวช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ ที่มีความสุข อย่างน้อยสัก 3 อย่าง แค่ได้ลูบหัวแมวน้อยข้างทาง นาทีที่ทำงานเสร็จหมดตามแผนการที่วางไว้ หรือความรู้สึกหลังจากเคลียร์ข้าวของบนโต๊ะที่เคยเกะกะให้กลับมาเป็นระเบียบเหมือนเคย บางทีแค่ได้กลับไปคิดถึงเรื่องพวกนี้ก่อนนอน ก็ทำให้นอนหลับสนิทคลายกังวล นั่นก็เป็นผลมาจากความสุขนั่นเอง
APPRECIATE WHAT YOU DO
จากความสุขที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ขยายต่อไปสู่ความสุขของตัวเราที่เกิดจากการสร้างความสุขต่อผู้อื่น นั่นมีคุณค่าและมีความหมายในมวลของความสุขก้อนใหญ่ขึ้น เพราะผลดีไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับตัวเราเอง แต่ยังส่งผลกระทบทางด้านบวกต่อความรู้สึกและจิดใจของผู้คนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย
ง่ายๆ ก็อย่างงานที่เราทำทุกวัน ใจหนึ่งก็อาจจะคิดว่าทำตามหน้าที่ให้เสร็จเรียบร้อยไป แต่ลองมาคิดดูดีๆ ว่างานทุกประเภทในสังคมก็สร้างความสุขให้กับผู้คนผ่านหน้าที่ของเราที่สำเร็จลุล่วงตามใจคิด อย่างเช่นในออฟฟิศ แม่บ้านคอยดูแลความเรียบร้อยให้พนักงานทุกคนทำงานของตัวเองได้อย่างสบายใจ เลขาช่วยจัดการทุกอย่างให้หัวหน้าทำงานใหญ่ๆ เจรจาธุรกิจอย่างราบรื่น หรือแม้แต่งานที่เสร็จทันเวลาจากพวกเราซึ่งสามารถส่งต่อไปยังแผนกอื่น กลายเป็นวงรอบของชิ้นงานสำเร็จตามไทม์ไลน์ ทั้งทีมก็แฮปปี้กันถ้วนหน้า
GRATITUDE
ตลอดทั้งวันมีเรื่องที่เราต้องประสบพบเจอมากมาย แน่นอนว่าในหนึ่งวันย่อมต้องปะปนไปทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงขอบคุณที่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น เพราะทุกสถานการณ์ล้วนมีแง่งามของตัวเองซ่อนอยู่
จากหนังสือฮาวทูประสบความสำเร็จเล่มหนึ่งบอกไว้ว่า ให้เราฝึกขอบคุณกับเรื่องราวระหว่างวันอย่างน้อยวันละ 5 อย่าง หากเป็นเรื่องดีก็ให้รู้สึกขอบคุณและอิ่มเอมใจไปกับเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างเพื่อนร่วมงานที่พาไปแนะนำร้านอร่อย หรือลุงยามคอนโดฯ ที่ช่วยโบกรถให้ทุกวัน แม้กระทั่งเป็นเรื่องร้ายอย่างวันนี้ที่ฝนตก ถ้าอยู่ในบ้านก็สบายหน่อย แต่ถ้าต้องอยู่นอกบ้านแล้วตัวเปียก อย่างน้อยน้ำฝนก็ช่วยให้ต้นไม้ตามธรรมชาติได้รับน้ำเพื่อเจริญเติบโตต่อ
SMILE INSIDE
ลบความเชื่อผิดๆ ที่ให้คุณหลีกเลี่ยงการยิ้มโดยไม่มีสาเหตุ เพราะมีงานวิจัยบอกมาว่า ทุกครั้งที่เรายิ้ม ร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุขออกมาเสมอ และแม้จะเป็นการฝืนยิ้ม สารแห่งความสุขตัวนี้ก็จะถูกหลั่งออกมาเช่นกัน
ถ้าคิดไม่ออกว่าจะนั่งยิ้มกับตัวเองได้อย่างไร ลองหาเรื่องที่ทำให้เกิดรอยยิ้ม การ์ตูนที่ชอบดูในวัยเด็ก ลองเสิร์ชหากลับมาดูอีกครั้งหนึ่ง หรือรูปภาพไปเที่ยวเก่าๆ ที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ตลกที่ทำให้ต้องอมยิ้ม หรือถ้าคิดสถานการณ์ไม่ออก แค่ลองฝึกยิ้มกับตัวเองหน้ากระจก เพียงแค่ได้ยิ้มให้กับตัวเอง ก็ช่วยสะท้อนความรู้สึกแห่งความสุขกลับเข้าไปหาตัวเราภายใน เพื่อผลิบานออกผลเป็นทัศนคติที่ดีในการใช้ชีวิตต่อไป
TO GIVE
เรามักมีความสุขเมื่อได้รับ แต่เชื่อเถอะว่าเราจะสุขยิ่งกว่าเมื่อได้เป็นผู้มอบให้ เหมือนอย่างที่ Ben Carson นักการเมือง อดีตประสาทศัลยแพทย์ได้เคยกล่าวไว้ว่า “Happiness doesn’t result from what we get, but from what we give – ความสุขไม่ได้บังเกิดผลจากที่ว่าเราได้รับอะไร แต่เกิดจากที่ว่าเราเป็นผู้ให้อะไร”
เพียงเริ่มจากการมอบสิ่งเล็กน้อยให้กับผู้คนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมอย่างของขวัญ ของฝาก ของชิ้นเล็กน้อย หรือนามธรรมอย่างคำชื่นชม ถ้อยความปรารถนาดี ถ้อยคำเป็นห่วงเป็นใย แค่เราได้เห็นใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความสุขจากผู้ที่ได้รับสิ่งดีๆ จากเราไป ตัวเราเองก็รู้สึกมีความสุขแล้วใช่ไหมล่ะ?
TO LISTEN
ในยุคเทคโนโลยีที่โลกหมุนเร็วกว่าใจคิด การจ้องหน้าจอทำให้เราลืมปฏิสัมพันธ์กับคนที่อยู่ตรงหน้า การสื่อสารผ่านทางตัวอักษรปราศจากน้ำเสียงเจือความรู้สึกแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำ โอกาสผิดใจจึงเกิดขึ้นสูงกว่าการที่ได้คุยกันซึ่งหน้า
เหตุที่การฟังทำให้ความคลาดเคลื่อนจากการสื่อสารเกิดขึ้นได้น้อยกว่าแค่เห็นจากตัวอักษร นั่นก็เพราะแท้จริงแล้ว สิ่งที่มีผลต่อการรับรู้ระหว่างการฟังมากที่สุดนั่นก็คือ น้ำเสียง แววตา ท่าทาง ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกความรู้สึกและเจตนาที่ชัดเจน จนมีงานวิจัยออกมาว่า การฟังด้วยตา คือการมองเห็นแววตาท่าทางมีผลต่อการรับรู้มากถึง 55% น้ำเสียงมีผล 38% ในขณะที่คำพูดเป็นเพียง 7% ของส่วนประกอบในการรับรู้ผ่านการสื่อสาร และไม่เพียงแต่การฟังเท่านั้น การเปิดโอกาสให้ผู้ฟังมีพื้นที่ในการพูดก็ย่อมทำให้การสื่อสารสมบูรณ์ทั้งสองทาง
การฟังเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่การฟังให้เกิดความสุขนั้นเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน จึงเกิดเป็นเวิร์คช็อป “ฟังสร้างสุข” การฟังเพื่อสร้างความสุขให้เราได้เข้าใจทั้งผู้พูดและเข้าใจตัวเอง ติดตามได้ทางเพจธนาคารจิตอาสาและเพจความสุขประเทศไทย
SOCIAL GIVING
จากความสุขที่ส่งต่อให้ผู้คนรอบตัว สู่ความสุขที่แผ่ขยายออกเป็นวงกว้างขึ้นด้วยการลงมือทำงานอาสาเพื่อสังคม งานอาสาเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ทดลองทำอะไรในสิ่งที่ชีวิตประจำวันตัวเองไม่ได้ทำ หรืออาจเป็นการใช้ความถนัดเพื่อส่งต่อให้กับผู้คนที่ต้องการเราอย่างแท้จริง
นอกจากสกิลส่วนตัวที่จะพัฒนาขึ้นแล้ว ประโยชน์ต่อผู้อื่นที่เกิดขึ้นจากมือและหัวใจของเราเองแล้ว ยังส่งผลดีกลับคืนมาเกิดผลภายในจิตใจของเราเอง ส่วนหนึ่งทำให้เราได้กลับมาทบทวนตัวเอง ไปพร้อมกับการค้นพบคุณค่าในตัวเองจากการที่ได้เป็นผู้ให้ ก็จะเกิดการแบ่งปันส่งต่อไม่สิ้นสุด ยิ่งให้ยิ่งได้ความสุข คลิกเลย www.jitarsabank.com
NATURE CONNECT
แม้เพียงสิ่งใกล้ตัวที่สุดอย่างต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว ก็มอบความสุขและสดชื่นแบบรายวันได้เช่นกัน แค่กระถางเล็กๆ บนโต๊ะทำงานหรือระเบียงห้องนอน นั่นก็เพราะคุณสมบัติของสีเขียวที่มอบพลังงานด้านบวกให้กับผู้ที่พบเห็น นั่นเป็นเหตุผลที่ เพียงเราได้เห็นดอกหญ้าต้นเล็กๆ ที่หยัดยืนริมถนนสุขุมวิทที่รถราหนาแน่นและจอแจตลอดวัน ก็อมยิ้ม เกิดเป็นความสุขได้แล้ว
ลองดีไซน์ และค่อยๆ สะสมความสุขในชีวิตของคุณกันดู หรือเพียงคลิกเข้าไปอ่านเรื่องราวความสุขของผู้คนในสังคม รวมทั้งพบกับ 8 ช่องทางสร้างความสุขและแรงบันดาลใจ เพื่อให้คุณเป็นเจ้าของความสุขได้ทุกวัน ที่ www.happinessisthailand.com