หากเอ่ยชื่อ JASPAL หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีในฐานะของแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์สัญชาติไทย ซึ่งถือเป็นเบอร์ต้นๆ ในตลาดที่ครองใจกลุ่มลูกค้ามานาน แต่แท้จริงนั้น JASPAL ถือเป็นแบรนด์หลักของ บมจ. ยัสปาล หรือ JASPAL GROUP ซึ่งกำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในชื่อ JPC
โดยหากย้อนไปจุดเริ่มต้น ธุรกิจของ JASPAL GROUP มีจุดเริ่มต้นมาจากการธุรกิจที่นอนและเครื่องนอน ก่อนจะผันตัวเองสู่การเป็นผู้ออกแบบและผลิตเสื้อผ้าแบบ Ready-to-wear ภายใต้แบรนด์ JASPAL อันมีเอกลักษณ์ ทั้งดีไซน์ที่เป็นสากล คุณภาพการตัดเย็บ บริการที่ดีในราคาที่เข้าถึงได้ ต่อมา JASPAL GROUP ยังได้ต่อยอดสร้าง In-house Brand ในกรุ๊ปออกมาอีกมากมาย เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมมากที่สุด และที่สำคัญคือการเป็นตัวแทนจำหน่าย Import Brand ให้กับแบรนด์ระดับโลกอีกมากมาย
ไม่เพียงแค่ตลาดในประเทศเท่านั้นที่แข็งแกร่ง เพราะในปีที่ผ่านมา JASPAL GROUP กำลังเจาะตลาดอาเซียน อย่าง กัมพูชา มาเลเซีย เวียดนาม และกำลังขยายธุรกิจเข้าไปยังฟิลิปปินส์อีกด้วย เรียกว่าก้าวข้ามตลาดในประเทศ สู่ระดับต่างประเทศแบบเต็มตัว และที่สำคัญกำลังเตรียมขยายธุรกิจครั้งใหญ่ และที่สำคัญบริษัทได้ยื่นไฟลิ่ง เพื่อเตรียมตัวเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใต้ชื่อ JPC
มาดูกันว่า ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ JASPAL GROUP ยังคงเติบโตมาตลอดกว่า 70 ปี
นำความสุขที่ยิ่งใหญ่สู่ผู้คนนับล้านทั่วโลก
JASPAL GROUP เข้าใจดีถึงพลังขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่ของการได้ใช้ชีวิตในแบบที่ผู้คนต้องการ ดังนั้น เราจึงตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจแฟชั่นไลฟ์สไตล์ เพื่อนำความสุขที่ยิ่งใหญ่มาสู่ผู้คนนับล้านทั่วโลก ซึ่งความทรงพลังและการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของธุรกิจแฟชั่นไลฟ์สไตล์ทำให้ JASPAL GROUP มุ่งมั่นที่จะอยู่ท่ามกลางและนำหน้าเทรนด์ชีวิตผู้คนเสมอ ด้วยประสบการณ์และความสำเร็จกว่า 70 ปี ทำให้เราไม่เคยหยุดนิ่งและพร้อมเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวสู่ธุรกิจชั้นนำระดับสากล โดยการนำเสนอสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ และบริการต่างๆ ผ่านแบรนด์หลากหลายในพอร์ตโฟลิโอที่ออกแบบ และผลิตอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ และสามารถค้นพบทุกไลฟ์สไตล์ที่แต่ละคนปรารถนาได้จากแบรนด์ต่างๆ ภายใต้ JASPAL GROUP
สร้าง In-house Brand อันแข็งแกร่ง
โลกของแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ทำให้แบรนด์ต่างๆ ต้องปรับตัวให้ทันเทรนด์ตลาดและความต้องการของลูกค้าเสมอ JASPAL GROUP จึงไม่หยุดอยู่แค่การปั้นแบรนด์ JASPAL เพียงแบรนด์เดียว แต่ยังมองหากลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีความชื่นชอบสไตล์แฟชั่นที่ต่างออกไปจากแบรนด์หลัก ด้วยการสร้างแบรนด์ในกรุ๊ปอย่าง CPS CHAPS, LYN, CC DOUBLE O, Jelly Bunny, lyn around, MISTY MYNX, ROYAL IVY REGATTA, QUINN รวมไปถึงมัลติแบรนด์สโตร์ อย่าง shoebar เป็นต้น ซึ่งแต่ละแบรนด์มีเอกลักษณ์ชัดเจนสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้คลอบคลุม ทุกเพศ ทุกช่วงวัย และทุกแฟชั่นสไตล์
ต่อยอด Import Brand สร้างโอกาสใหม่
นอกจากแบรนด์ในกรุ๊ปแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ JASPAL GROUP เป็นเจ้าตลาดแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ คือการเป็นตัวแทนนำเข้าและจำหน่าย Authorized Dealer ให้กับแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก อย่าง MANGO, Superdry, FRED PERRY, Champion, melissa, ASICS, DIESEL, Ipanema และ NEW ERA ทั้งในประเทศไทยและหลายประเทศอาเซียนอีกด้วย ซึ่งเป็นการสร้างฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น เพื่อสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจที่ไม่หยุดอยู่แค่การสร้างแบรนด์ของตัวเอง
เปิดช่องทางการขายอย่างครอบคลุม
หัวใจสำคัญที่ทำให้ JASPAL GROUP เติบโต ไม่ใช่แค่เรื่องของคุณภาพสินค้า แต่เป็นการเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจแฟชั่น ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องโลเคชันของร้านค้า ที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าที่มี Traffic คึกคักหนาแน่น เอาใจสายช้อปที่ชอบลองที่หน้าร้านให้สามารถเดินเข้าร้านได้ทุกสาขาที่สะดวกกว่า 462 สาขา ครอบคลุม ทั้งในและต่างประเทศ รวมไปถึงการเติบโตไปพร้อมกับเทรนด์ผู้บริโภคที่ชื่นชอบการช้อปออนไลน์ ผ่านทาง Ecommerce และ Marketplace ต่างๆ และ Social Commerce อย่าง Facebook, TikTok และ LINE
ยกระดับแบรนด์ เดินหน้ามุ่งสู่ตลาดต่างประเทศเต็มตัว
แบรนด์ต่างๆ ภายใต้ JASPAL GROUP มีความมุ่งมั่นในการยกระดับแบรนด์ให้ได้รับการยอมรับสู่ระดับสากล โดยการใช้ซูเปอร์โมเดล รวมถึงเซเลบริตี้ นักแสดง นักร้อง ระดับโลก มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้แก่แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ มาโดยตลอด นอกจากนี้ แบรนด์ “JASPAL” ยังเป็นแบรนด์แรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ทำ Brand Collaboration ร่วมกับดีไซเนอร์ระดับโลกอีกด้วย
ไม่เพียงแค่ตลาดในประเทศไทยเท่านั้น JASPAL GROUP ยังได้บุกตลาด กัมพูชา มาเลเซีย เวียดนามเป็นที่เรียบร้อย โดยมีมากกว่า 80 ร้านค้า ทั้งที่เป็นแบรนด์ In-house Brand อาทิ LYN, CC DOUBLE, Jelly Bunny, lyn around, CPS CHAPS และ Import Brand อาทิ DIESEL, FRED PERRY, Champion, Superdry เป็นต้น ซึ่งนอกจาก 3 ประเทศดังกล่าวแล้ว JASPAL GROUP กำลังเตรียมขยายธุรกิจเข้าไปยังฟิลิปปินส์อีกด้วย เรียกว่าก้าวข้ามตลาดในประเทศไปแล้ว
จากวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 70 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะพบเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจหลายครั้ง แต่ล่าสุด JASPAL GROUP พลิกกลับมามีกำไรกว่า 915 ล้านบาทในปี 65 และเพียงไตรมาสแรกของปี 66 ทำกำไรไปแล้วกว่า 243 ล้านบาทเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้ คือเหตุผลที่ทำให้ บมจ. ยัสปาล หรือ JASPAL GROUP เดินหน้าขยายธุรกิจต่อ ด้วยการยื่นไฟลิ่ง เสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 156 ล้านหุ้น เตรียมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เป็นที่เรียบร้อย ภายใต้ชื่อ JPC พร้อมยกระดับก้าวสู่การเป็น Regional Fashion and Lifestyle Retailer แบบเต็มตัว และยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลก