จะว่าไป คนสมัยนี้เหนื่อยกว่าเมื่อก่อนเยอะ
ไหนจะต้องผจญกับความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน ก็พอจะหาทางหนีทีไล่ได้บ้าง แต่ก็ยังมีเรื่องที่เหนือการควบคุมอย่างสภาพอากาศ แค่วันๆ หนึ่ง ไม่ต้องรอให้นอนก็เหมือนฝันร้ายแล้ว พออยากหนีความจริงด้วยการไปนอน ฝันร้ายก็ยังตามหลอกหลอนอีก แล้วคนธรรมดาอย่างเราๆ จะหนีฝันร้ายทั้งในชีวิตจริงทั้งบนเตียงได้อย่างไรบ้าง?
ทวงคืนอากาศดี คุณภาพชีวิตดี
เริ่มจากฝันร้ายในชีวิตจริงที่ต้องผจญตั้งแต่ตื่นอย่างเรื่องมลภาวะ โดยเฉพาะกับฝุ่นละออง PM2.5 ที่จริงๆ แฝงตัวอยู่ในอากาศบ้านเรามานานแล้ว แต่ปริมาณที่มากขึ้นจนเพิ่มระดับกลายเป็นอันตรายต่อทุกคน ยิ่งทำให้เหมือนเรากำลังอยู่ในโลกที่ต้องซื้ออากาศหายใจ เพราะแต่ละคนต้องหาวิถีทางป้องกันเป็นของตัวเอง ตั้งแต่การหาซื้อหน้ากาก N95 ที่ขาดตลาดอยู่ตลอด ไปจนถึงการลงทุนครั้งใหญ่อย่างการซื้อเครื่องกรองอากาศติดบ้านไว้แบบด่วนๆ (แต่ก็ยังไม่มีให้ซื้ออยู่ดี)
แท้จริงแล้ว วิธีการหลีกเลี่ยงฝุ่นละอองที่เกินพิกัดเหล่านี้แก้ได้ด้วยแผนพัฒนาเมือง อย่างที่หลายเมืองใหญ่ๆ ในโลกประสบความสำเร็จมาแล้ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและไม่ไกลจากบ้านเราคือ สิงคโปร์ กับการเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เข้าร่วมแคมเปญ #BreatheLife ขององค์การอนามัยโลกในการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ต้นทางในการประเมินค่าความเป็นมลพิษ เพื่อค้นหามาตรการที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหาส่วนปลายทางอย่างเหมาะสม และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างเมืองหายใจได้ยืนยาวไปจนถึงอนาคต
ฝุ่นตัวร้าย ทำลายฝัน
จากฝุ่นตัวร้ายตลอดวัน ยังลุกลามเข้าไปทำร้ายเราถึงในความฝันยามที่เข้านอน ยืนยันได้จากงานวิจัยชื่อว่า Multi-Ethnic Study of Atherosclerosis (MESA) หรืองานวิจัยคุณสมบัติของภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง โดยการหาความสัมพันธ์ระหว่างการสัมผัสมลพิษในอากาศกับคุณภาพการนอน พบว่ามลพิษเป็นสาเหตุของการระคายเคืองในระบบทางเดินอากาศ โดยอนุภาคเล็กๆ อาจเข้าไปถึงกระแสเลือดแล้วส่งผลต่อไปยังศูนย์ควบคุมการนอนในสมอง แต่ทั้งนี้งานวิจัยเหล่านี้ยังเป็นเพียงทฤษฎี และต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมกันต่อ แต่สิ่งที่สัมผัสได้จากความรู้สึกของตัวเองคือการนอนหลับฝันร้าย ซึ่งเป็นผลส่งต่อมาจากการนอนผิดท่า นอนไม่สบายตัว โดยเฉพาะที่พบมากคือปัญหาของระบบหายใจ จากอาการหายใจไม่สะดวกระหว่างการนอนหลับ ไปจนถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งนับว่าเป็นภัยเงียบที่เราอาจไม่รู้ตัว และอาการอาจดำเนินต่อเนื่องจนกลายเป็นอาการฝันร้ายเรื้อรังจนสร้างปัญหากระทบกระเทือนต่อการใช้ชีวิต
ที่สุดแล้ว ขอไม่ฝันจะดีกว่า
การนอนหลับให้สนิท ไม่ฝันถึงเรื่องใดเลย ถือเป็นการนอนที่มีคุณภาพมากที่สุด และยังเป็นการหลีกเลี่ยงฝันร้ายที่ดีที่สุด หากไล่เรียงจากสาเหตุที่ทำให้นอนฝันร้าย เรื่องที่เราๆ พอจะควบคุมได้ก็เป็นเรื่องความเครียดและการใช้ชีวิตอย่างถูกสุขลักษณะ เริ่มจากลองพยายามเคลียร์เรื่องงานหรือเรื่องรำคาญใจให้หมดก่อนเข้านอน ด้วยการทำเช็คลิสต์สิ่งที่ต้องทำในเช้าวันใหม่ พอปัญหาในหัวถูกจดบันทึกไว้แล้ว เราก็จะไว้ใจว่าจะไม่ลืมแน่ๆ รวมทั้งการนั่งสมาธิ กำหนดจิตให้รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปคือการนอน
อีกหลักใหญ่คือการใช้ปัจจัยทางกายภาพอื่นๆ เข้ามาช่วยสร้างภาวะสบายใจ ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ อย่างการดื่มน้ำ ผ่อนคลาย สร้างบรรยากาศห้องนอนให้เหมาะสมกับการนอนทั้งแสงไฟ-ผ้าม่านที่ปิดสนิท ออกห่างจากอุปกรณ์บันเทิงอย่างสมาร์ตโฟนหรือโทรทัศน์อย่างน้อย 20 นาทีก่อนนอน ไปจนถึงการกำหนดท่านอน งานวิจัยบอกไว้ว่าท่านอนหงายเป็นท่าที่สบายที่สุด เพราะไม่มีส่วนใดของร่างกายถูกกดทับ หายใจได้คล่องไม่ติดขัด
ฝันร้ายที่ไม่อยากให้กลายเป็นจริง
ความฝันที่ว่ามาทั้งหมดเรายังพอสามารถเลี่ยงมันได้ แต่หากเป็นฝันร้ายที่เกิดขึ้นจริง อย่างเช่น โรคภัยไข้เจ็บซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจำเป็นต้องรักษาและมุ่งหน้าแก้ปัญหาให้ดีที่สุด ส่วนคนที่เรื่องราวเหล่านี้ยังไม่เกิด ก็มีหน้าที่ต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเช่นกัน การทำประกันชีวิตจึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เซฟชีวิตในวันที่เกิดสิ่งไม่คาดฝัน ด้วยประกัน iShield ประกันคุ้มครองชีวิตและโรคร้ายแรงตลอดชีพ จากกรุงไทย-แอกซ่า
iShield มาพร้อมกับความปรารถนาดีที่ต้องการให้คุณใช้ชีวิตทุกวันได้อย่างสบายใจ เริ่มตั้งแต่ระยะเวลา ชำระเบี้ยสั้น เบี้ยประกันคงที่ตลอดสัญญา พร้อมกับอุ่นใจเพราะเบี้ยที่จ่ายไปไม่สูญเปล่า จึงช่วยยืดความสุขของคุณออกไปได้ยาวๆ คุ้มครอง 70 โรคร้ายแรง ทั้งระยะเริ่มต้น 20 โรค และระยะรุนแรง 50 โรค สำหรับโรคร้ายแรงระยะเริ่มต้นนั้นสามารถเคลมได้หลายครั้ง โดยไม่มีระยะเวลารอคอยระหว่างโรค รวมทั้งเบี้ยประกันภัยในส่วนคุ้มครองชีวิตสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร
รายละเอียดเพิ่มเติมของ iShield คลิกเข้าไปดูได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/th/ishield