ฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานในหลายจังหวัด จนนำไปสู่การออกมาตรการ Work From Home หลังจากนั้นยังมีมาตรการให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้า และรถเมล์ฟรีในกรุงเทพฯ ขณะที่นโยบายระดับประเทศ ยังมีการประกาศมาตรการ ‘ลดการเผา’ ในภาคการเกษตร อาทิ การเผาฟาง และไร่อ้อย
ทั้งนี้ ท่ามกลางมาตรการต่างๆ ที่ออกมา หนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง คือต้นตอของฝุ่นพิษ จากโรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ ‘โรงงานน้ำตาล’ ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ฝุ่นพิษทวีความรุนแรงขึ้น
The MATTER จึงทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ‘การเผาอ้อย’ และ ‘โรงงานน้ำตาล’ ว่าทั้งสองปัจจัยส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศอย่างไร และทางออกของเรื่องนี้คืออะไรบ้าง
โรงงานอุตสาหกรรม หนึ่งในต้นเหตุฝุ่นพิษ
“เมื่อเกิดวิกฤตฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ เรามักจะพุ่งเป้าไปที่รถยนต์เป็นหลัก แต่แหล่งกำเนิดของฝุ่นพิษไม่ใช่แค่นั้น” วิฑูรย์ เพิ่มพงศาเจริญ ผู้อำนวยการเครือข่ายพลังงานเพื่อนิเวศวิทยาแม่น้ำโขง (MEENet) กล่าวบนเวทีสาธารณะ ที่เกิดจากความร่วมมือจากภาคประชาสังคม เพื่อเปิดเผยผลสำรวจแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศขนาดใหญ่
“พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีแหล่งกำเนิดฝุ่นและคาร์บอนไดออกไซด์ขนาดใหญ่ คือ ‘โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล’ และ ‘โรงกลั่นน้ำมัน’ ที่มีกำลังผลิตสูงมาก ซึ่งปล่อยฝุ่นมากกว่ารถยนต์หลายเท่า การต่อกรกับวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 ได้จริงจะต้องจัดการกับผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ดังกล่าว”
ซึ่งก๊าซดังกล่าวจะนำไปสู่การก่อตัวของ PM2.5 ที่มีส่วนสำคัญต่อผลกระทบด้านสุขภาพของประชาชนทั่วโลก โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ และยังเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคเรื้อรัง หากรับเข้าไปในระยะยาว ซึ่งสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่เกิดขึ้นทั่วโลก
เช่นในสหภาพยุโรป การรับเอา NO2 เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 75,000 คนต่อปี และในจีน มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่า ผลจากการสัมผัส NO2 นำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของการเสียชีวิต จากโรคทางเดินหายใจและโรคหัวใจ
นอกจากนี้ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ระบุถึงการศึกษาของมูลนิธิบูรณะนิเวศในจังหวัดสมุทรสาครเมื่อปี 2564 ที่พบว่า “ภาคอุตสาหกรรมเป็นแหล่งกำเนิดหลักของฝุ่นพิษ PM2.5 เมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งกำเนิดจากภาคการจราจรและขนส่ง การเผาขยะมูลฝอย และการเผาในที่โล่ง”
โดยพื้นที่วิกฤตที่มีการปลดปล่อยสูงสุดคือ ‘อำเภอเมืองสมุทรสาคร’ เขตอุตสาหกรรมหนาแน่นและเป็นหนึ่งในปริมณฑลสำคัญของกรุงเทพฯ ซึ่งข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมเมื่อปี 2560 พบว่า มีจำนวนโรงงานอุตสาหกรรม 13,272 แห่งที่เป็นแหล่งก่อมลพิษทางอากาศ
ทำไมโรงงานน้ำตาลถึงถูกหยิบมาพูดถึงมากที่สุด?
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ที่เกิดวิกฤตฝุ่น PM2.5 ผู้คนจากหลายภาคส่วนพยายามหาต้นตอของปัญหา และไม่กี่ปีที่ผ่านมาสังคมให้ความสนใจไปที่ ‘การเผา’ ไม่ว่าจะในประเทศ หรือจากประเทศเพื่อนบ้าน
ในปีนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการคุมเข้มการเผาฟางและไร่อ้อย แต่ถึงกระนั้นยังมีเกษตรกรที่ยังคงเผาไร่อ้อยอยู่ดี จนนำไปสู่คำถามที่ว่า “ทำไมต้องเผา?” ดังนั้นก่อนที่จะลงลึกไปที่ประเด็นโรงงานน้ำตาล เราขอพูดถึงการเผ่าอ้อย ที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำตาลเสียก่อน
รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อธิบายถึงสาเหตุของการเผาไร่อ้อย รวมถึงทางออกในการหยุดวงจรดังกล่าว
อาจารย์ขวัญตรี แบ่งสาเหตุที่ทำให้ยังเกิดการเผาไร่อ้อยออกเป็น 5 สาเหตุได้แก่
- ไร่อ้อยเมื่อไม่เผาและไม่ตัด หญ้าจะรก มีหมามุ่ย ใบอ้อยบาดตัว ขนใบอ้อยเข้าตา ดังนั้นต้องสางใบอ้อยก่อน เท่ากับต้องใช้เวลานานขึ้น 3-4 เท่า ในการเคลียร์พื้นที่ ซึ่งบางครั้งผู้ว่าจ้างอาจมีเงินจ้าง แต่อาจหาแรงงานมาตัดอ้อยไม่ได้
- ต้นทุนในการตัดอ้อยสดสูงกว่าการตัดอ้อยแบบเผา เช่นค่าจ้างแรงงานตัดอ้อยกอง 100 ลำ ค่าตัดอ้อยสดอยู่ที่ 15-18 บาทต่อกอง ขณะที่ค่าตัดอ้อยเผา 5 บาทต่อกอง ต้นทุนต่างกันถึง 3 เท่า ส่วนต่างคิดเป็น 10-15% ของราคาอ้อย
- เจ้าของอ้อยแปลงขนาดเล็ก ที่ไม่มีแรงงาน ไม่มีรถตัดอ้อย ต้องขายเหมาแปลง หรือให้โควต้ารายใหญ่มาตัดให้ และหากไม่ยินยอมก็อาจถูกลักลอบจุดไฟเผา และเมื่ออ้อยถูกเผาจะต้องรีบตัดก่อนที่อ้อยจะเน่า โดยจะต้องส่งโรงงานภายใน 24 ชั่วโมง
- พ่อค้าอ้อยซื้อเหมาอ้อย เนื่องจากบางคนมีความคิดว่า ต้องลดต้นทุนให้มากที่สุด มิฉะนั้นก็ให้ราคาซื้ออ้อยสูงสู้พ่อค้าอ้อยรายอื่นไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เจ้าของแปลงไปขายพ่อค้าอ้อยรายอื่นที่ให้ราคาดีกว่า
- คนตัดไม่ใช่เจ้าของแปลง เจ้าของแปลงไม่มีกำลังพอจะตัดเอง กลายเป็น การตัดจึงอยู่บนแนวคิดที่ ‘ทำให้ต้นทุนต่ำที่สุด’ ไม่สนใจเรื่องอินทรียวัตถุในดินในระยะยาว และเรื่องระบบนิเวศน์แมลงในแปลงถูกทำลาย
นอกจากนี้ อาจารย์ขวัญตรียังพูดถึงการใช้เครื่องจักรในการจัดการไร่อ้อยว่า ราคาค่อนข้างสูง “รถตัดอ้อยใหญ่ที่ทำได้ครบกระบวนการ ราคา 12 ล้านบาท ส่วนรุ่นกลางๆ หรือมือสอง ราคาประมาณ 5-6 ล้านบาท แต่มีข้อจำกัดและการตัดที่ช้าลง”
เธอยังเสริมถึงทางเลือกในการใช้เครื่องจักรขนาดเล็ก เช่น รถตัดเล็ก เครื่องสางใบ หรือเครื่องตัดโคนติดรถไถว่า สามารถใช้ทดแทนได้ แต่มีอุปสรรคค่อนข้างมาก เพราะในไร่อ้อยมีทั้งฝุ่นทั้งร้อน ขนใบอ้อย เศษใบอ้อย และกว่าจะจบกระบวนการทั้งหมดต้องใช้จ้างแรงงานจำนวนมาก
“ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนในการตัดอ้อยสด ต้นทุนก็ไม่มีทางต่ำกว่า ‘ไฟแช็ก ราคา 6 บาท’ ไปได้ ถ้ามองในแง่ต้นทุนอย่างเดียว การตัดอ้อยสดสู้ไม่ได้”
อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมเกษตรเสริมว่า ต้นทุนการตัดอ้อยไฟไหม้ราคาถูกกว่า แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยที่ดินต้องเสียอินทรียวัตถุ เสียค่าปุ๋ยมากขึ้น ผลผลิตอ้อยต่อปีจะแย่ลง ไว้ตอได้น้อยลง ปัญหาแมลงและวัชพืชมากขึ้น “และที่สำคัญคือการสร้างมลพิษ PM2.5 จากการเผาในที่โล่ง”
เก็บเกี่ยวช้า ไม่ทันขายให้กับโรงงานน้ำตาล
อาจารย์ขวัญตรี ระบุว่า โรงงานน้ำตาลเป็นโรงงานที่ใช้ระบบเครื่องจักรขนาดใหญ่ ใช้วงจรไอน้ำในการทำงาน หากเดินเครื่องแล้วจะไม่หยุดพัก ดังนั้นต้องให้มีอ้อยป้อนเข้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ขาดทุน “จึงมีวันเปิดหีบ และวันปิดหีบ ชาวไร่ต้องขายอ้อยช่วงนี้เท่านั้น”
“อ้อยเป็นพืชไร่อายุยาว ตัดขายปีละครั้ง เหมือนเราทำงานบริษัทหนึ่งทุ่มเททำงานทั้งปี งานนี้จ่ายเงินเรารวบยอดปีละครั้งเดียวเท่านั้น ถ้ามีคนมาบอกว่า ส่งงานนี้ให้ทันวันนี้ๆ นะ ถ้าส่งไม่ทัน เงินเดือนทั้งปีที่ผ่านมาจะสูญทั้งหมด แล้วมีอีกคนยื่นมือมาบอกว่าทำแบบนี้สิ ส่งงานทันแน่นอน ได้เงินแน่ ถึงจะรู้อยู่ว่าวิธีนั้นมันมีผลเสียยังไง ส่งผลต่อส่วนรวมยังไง ก็คงไม่แปลกถ้าจะมีคนหวั่นไหว เลือกทางผิดกันบ้าง ในเมื่อหันไปก็เจอลูกเมียและเจ้าหนี้”
ทั้งนี้ เธอย้ำว่า ไม่ใช่ว่าอยากให้เห็นใจคนที่เผา การจงใจลักลอบเผาอ้อยผิดอย่างแน่นอน และมีชาวไร่อีกจำนวนมาก ที่ใส่ใจและพยายามที่จะไม่เผามาตั้งนานแล้ว
ทางออกของปัญหา
อาจารย์ขวัญตรีเสนอทางออกว่า โรงงานควรถูกจำกัดการรับซื้ออ้อยไฟไหม้ ไม่เกิน 25% (และลดลงเรื่อยๆ หลังจากนั้น) การให้อ้อยสดมีสิทธิขายก่อน อ้อยไฟไหม้ การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับรถตัดอ้อย การรวมกลุ่มเกษตรกรแปลงเล็กที่ติดกันเป็นแปลงใหญ่ ร่วมกันวางแผนปลูกอ้อย และวางแนวแถวไปทางเดียวกัน เพื่อให้ตัดอ้อยด้วยรถตัดอ้อยได้ และการรับซื้อใบอ้อยเพื่อมาผลิตพลังงาน เป็นต้น
เธอระบุต่อว่า อุปสรรคของการคลี่คลายปัญหานี้คือ การไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง กับการติดตาม จับกุม ปรับ ขัง คนที่จุดไฟวางเพลิง รวมถึงกรณีที่เจ้าของแปลงไม่ได้เป็นคนจุดเอง ซึ่งในหลายพื้นที่มีการให้รางวัลนำจับ แต่ช่วยได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เนื่องจากบางครั้งมีผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นมาเกี่ยวข้อง
“สรุปแล้วการที่โรงงานรับซื้ออ้อยสดในราคาสูงและไม่รับซื้ออ้อยเผา ช่วยลดการเผาก่อนตัดได้ แต่การเผาใบเพื่อแปลงหลังตัด ยังคงจะเป็นปัญหาไปอีกสักพัก เพราะการรับซื้อใบอ้อยยังไม่ทั่วถึง และยังไม่คุ้มค่าในพื้นที่ที่ต้องขนส่งไกล”
เธออธิบายเพิ่มว่า เนื่องจากใบอ้อยย่อยสลายยาก และเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่พร้อมจะติดไฟ ชาวไร่หลายคนเลือกจะสับกลบฝังลงดิน ถึงจะต้องแลกมาด้วยค่าแรง ค่าเครื่องมือ และค่าน้ำมัน เพื่อจะได้ไม่ต้องเผาอ้อย ไม่สร้างมลพิษ และเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ บำรุงดินให้อุ้มน้ำได้ดี
ดังนั้นแล้วการจะแก้ปัญหานี้ต้องช่วยกันหาทางสร้าง ‘มูลค่าเพิ่ม’ ให้ใบอ้อย ด้วยการหาทางลดค่าขนส่งใบอ้อย หรือสร้างตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ อาจจะเป็นมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับบริษัทที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์ จากของเหลือทางการเกษตร เช่น ถ้วยจานใบอ้อย ก้อนเชื้อเพลิงใบอ้อย และถ่านอัดแท่ง
การรับมือของรัฐบาล
ที่ผ่านมารัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนการตัดอ้อยสด เพื่อลดการเผาและลดปัญหาหมอกควันในอากาศมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปี 2021 มีการอนุมัติงบประมาณช่วยเหลือชาวไร่ตัดอ้อยสดเพื่อลด PM2.5 เกือบ 6,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดีการเผาไร่อ้อยก็ยังเกิดอยู่ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่กระทรวงอุตสาหกรรมขอความร่วมมือโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศ ให้รับเฉพาะ ‘อ้อยสด’ เข้าหีบ และชะลอ ระงับ ยับยั้ง และยุติการเผาไร่อ้อย รวมถึงยุติการรับอ้อยเผาเข้าหีบ
ตามแนวทางมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM 2.5) ของนายกรัฐมนตรีและมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 ให้ผู้ประกอบการอ้อยและน้ำตาลทรายงดการรับซื้ออ้อยเผาโดยเด็ดขาด ส่งผลให้ชาวไร่อ้อย และโรงงานน้ำตาล 58 แห่งทั่วประเทศให้ความร่วมมือตัด และรับอ้อยเผาเข้าหีบต่ำสุดในประวัติศาสตร์ หรือลดลงใกล้แตะ 10 เปอร์เซ็นต์ และดันอ้อยสดพุ่ง 90 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณการรับอ้อยเข้าหีบทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังมีโรงงานน้ำตาล 11 แห่ง ที่ยังรับซื้ออ้อยไฟไหม้เกินหลักเกณฑ์ที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนด 25 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนรับซื้อทั้งหมด
พ.ร.บ.อากาศสะอาด ถึงไหนแล้ว?
ในช่วงเวลาที่ฝุ่นพิษส่งผลต่อคนไทยอยู่อย่างต่อเนื่อง คำถามถึงกฎหมายที่จะถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยตรงอย่าง ‘พ.ร.บ.อากาศสะอาด’ ก็กลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะกับการถามหาความคืบหน้าของร่างกฎหมายดังกล่าว ที่อยู่ในชั้นการพิจารณาการกรรมาธิการ
จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด กล่าวว่า “พิจารณาครบทุกมาตราแล้ว โดยได้เชิญทั้งเอกชน นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เข้ามาให้ความเห็นเพื่อให้เป็น พ.ร.บ.ที่สมบูรณ์ที่สุด”
ซึ่งจุดเด่นของร่าง พ.ร.บ.นี้ มีการกำหนดเกี่ยวกับกองทุนอากาศสะอาด ให้ผู้ที่ก่อมลพิษจ่ายค่าปรับและค่าธรรมเนียมเข้าสู่กองทุน และนำไปแก้ไขปัญหาอากาศ ในกรณีที่งบรายจ่ายประจำ หรืองบกลางไม่สามารถนำมาใช้ได้ทันท่วงที
ไทยเคยติดอันดับ 9 ประเทศที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดของโลก ขณะเดียวกันไทยถือเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลระดับ 2 ของโลก มีรายได้จากการส่งออกน้ำตาลถึง 121,000 ล้านบาท ดังนั้นต้องจับตาดูกันต่อไปว่าปัญหาเหล่านี้จะถูกคลี่คลายให้ดีขึ้นอย่างไร