ต่อให้ประสบความสำเร็จมากแค่ไหน คนในช่วงวัย 30-40 ปีก็มักจะมีความรู้สึกจ๋อยๆ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่ เต—ตะวัน วิหครัตน์ พิธีกรและนักแสดงมากความสามารถ ที่ก็มีทั้งมุมแจ๋วและมุมจ๋อยไม่ต่างจากผู้คนในแวดวงอื่นๆ
หลายคนที่ติดตามผลงานของเตผ่านทางหน้าจออาจไม่รู้ว่า ชีวิตหลังกล้องของหนุ่มยิ้มง่ายคนนี้มีปมความสัมพันธ์ที่ต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะคลี่คลาย และแม้วันนี้จะเป็นนักร้องนักแสดง ทว่าเดิมที เขาไม่มีความมั่นใจทุกครั้งที่ต้องตกเป็นเป้าสายตา เป็นคนขี้อายที่ชอบใช้เวลาอยู่กับตัวเอง จดจ่ออยู่กับการเรียนและศาสตร์ความรู้ที่สนใจ งานในวงการบันเทิงนั้นไกลตัวขนาดที่เขาเองก็ไม่คาดคิดว่า วันหนึ่งจะเดินทางมาถึงจุดนี้
ไม่ต้องถึงขั้นร้องเพลงต่อหน้าแฟนคลับนับร้อย ในวัยเด็ก เตไม่อยากแม้กระทั่งออกไปนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน ซึ่งความรู้สึกตื่นเต้นกังวลแบบนั้นก็ยังติดตัวเขาเรื่อยมาจนเขาต้องถามตัวเองบ่อยๆ ว่า เราคู่ควรกับการมายืนอยู่ตรงจุดนี้จริงหรือไม่…
บทความนี้จะช่วยไขคำตอบนั้น ธัญวัฒน์ อิพภูดม จะพาทุกคนไปรู้จักตัวตนทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ทั้งวัยเด็กและวันนี้ของเต ผ่านรายการ 30 ยังจ๋อย ร่วมติดตามไปพร้อมกันว่า เพราะอะไรหนุ่มสดใสในเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำจึงกล้ายอมรับในที่สุดว่าตัวเองคู่ควร
“สวัสดีครับ เต—ตะวัน อายุ 33 ปี ยัง-แอต-ฮาร์ต (Young at Heart) ครับ”
เขาทักทายสั้นๆ ตามคอนเสปต์การเปิดรายการ และต่อจากนี้คือเส้นทางความสุข ความทุกข์ ความเจ๋ง และความจ๋อย ที่เขาเปิดใจเล่าให้เราฟัง
01
Young at Heart
ยัง-แอต-ฮาร์ต หมายถึงหัวใจยังเด็กอยู่เหรอ
ผมทำงานในค่าย GMMTV ครับ ซึ่งสําหรับน้องๆ เราก็ถือเป็นพี่คนโตคนหนึ่ง (หัวเราะ) ก็จะมีการแซวกันอยู่บ่อยๆ หรือบางทีเราก็แซวตัวเอง แต่ถ้าถามจริง ๆ ว่า เออ คิดว่าตัวเองแก่มั้ย ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองแก่นะ วัย 30 เป็นวัยที่ยังไม่ได้ทําอะไรอีกตั้งเยอะ แล้วก็เป็นวัยที่พร้อมจะทําอะไรอีกตั้งเยอะ
ตอนก้าวเท้าเข้าสู่เลข 3 เตรู้สึกกลัวบ้างมั้ย
จริงๆ ช่วง 20 ปลายจนถึง 30 เป็นช่วงที่ผมทํางานหนักมาก พอทํางานทุกวัน มันเลยไม่ค่อยมีเวลาให้กลัว อาจจะมีแบ่งใจมากลัวบ้างในวันที่ว่าง และยิ่งเราเจอคอนเทนท์ตามโซเชียลฯ ที่บอกว่า อายุ 30 แล้วต้องอย่างนู้น ต้องอย่างนี้ บางทีสมองเราก็รับสิ่งพวกนี้เข้ามาโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน หลายครั้งนั่งเช็กกับตัวเองนะว่า เฮ้ย เรามีสิ่งนั้นหรือยัง แต่โชคดีอย่างหนึ่งที่ผมไม่ได้หมกมุ่นกับมันมาก เพราะวันรุ่งขึ้นก็ต้องออกไปทำงาน และโชคดีอีกอย่างที่ผมเติบโตมาในยุคนี้ ยุคที่ไม่ได้จำเป็นว่า อายุ 30 ต้องเป็นเจ้าของสิ่งต่างๆ มากขนาดนั้น เราเป็นตัวของตัวเองได้ และเราเองก็ประสบความสําเร็จประมาณหนึ่งในแบบที่เราเชื่อแล้ว
จุดไหนที่ทำให้เตรู้สึกว่า เราประสบความสำเร็จในแบบของเราก็ได้ ไม่ต้องแคร์สิ่งที่โลกโซเชียลบอกเราขนาดนั้น
(หัวเราะ) จริงๆ ผมเป็นคนที่แคร์ทุกสิ่งมาก แคร์ว่าคนจะคิดยังไง แคร์ไปหมด แต่พอเราทํางานเยอะๆ งานในวงการนี้ช่วยให้เรามีความมั่นใจในตัวเอง บวกกับความเหนื่อยจากการทำงาน มันทำให้เราสนใจความคิดที่คนอื่นมีต่อเราน้อยลง เริ่มเข้าใจว่า แต่ละคนมีความสุขไม่เหมือนกัน ทำไมต้องมาคิดเหมือนกันว่า 30 แล้วต้องมีเงินสิ ต้องรวยสิ ทั้งที่จริงๆ เราประสบความสำเร็จในแบบของเราก็ได้ สมัยก่อนคนส่วนใหญ่ในสังคมอาจจะมองว่าเกมเมอร์ไม่ดี ทำไมเด็กถึงติดเกม แต่ยุคนี้ เป็นเกมเมอร์ก็ประสบความสำเร็จในทางของตัวเองได้ กลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เด็กใฝ่ฝัน ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สังคมกำลังเปลี่ยน และมันก็เปลี่ยนไปในแบบที่ตรงกับแนวความเชื่อของผมพอดี
สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุดของเตในช่วงปลาย 20 กับต้น 30 คืออะไร
การปล่อยวางครับ ตัวเบาขึ้น ช่วง 33 คือตัวเบามาก แต่ก่อนมันตึงไปหมด ตึงไปซะทุกอย่าง ผมเป็นคนคิดมากอยู่แล้ว อยากเตรียมให้ดี ถ้าไม่พร้อม ผมไม่ทำ อีกอย่างคือผมโตมาในบ้านที่คุณปู่เป็นอาจารย์ฟิสิกส์นิวเคลียร์ คุณย่าเป็นอาจารย์ เป็นนักเขียน…
แปลว่าเข้มงวดมาก?
ก็ไม่ถึงกับเข้มงวด แต่เขาจะมีกฎเกณฑ์บางอย่าง มีสีดำสีขาว อันนั้นผิด อันนี้ถูก แต่ในสังคมจริงๆ มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป ยิ่งกับการแสดง มันไม่ได้มีอะไรที่ถูกผิด ขาวดำ มันนอกกรอบกว่านั้น ซึ่งถ้าเราอยู่ในกรอบ มันจะเป็นอุปสรรคต่อการแสดง เราจึงค่อยๆ ออกจากกรอบนั้นทีละนิด เปิดใจมากขึ้น หลายอย่างที่เคยตึงก็คลาย ตัวเลยเบาลง
ในวัย 33 เตรับมือกับวันที่เหนื่อยหรือท้อยังไง
ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความทุกข์และอุปสรรค มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลา แต่เวลาเจอปัญหา บางครั้งเราเครียดและจดจ่อกับมันจนหาทางออกไม่เจอ ทั้งที่ถ้าลองซูมออกมามองภาพกว้าง ยิ่งกว้างเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเห็นว่า จริงๆ แล้ว ความเหนื่อย ความท้อ และปัญหานั้นมันเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ในชีวิต เราต้องย้ำกับตัวเองว่า เดี๋ยวสุดท้ายมันจะผ่านไปได้เอง ความทุกข์ไม่ได้อยู่กับเราตลอด…
แต่ความสุขก็เหมือนกันนะ ชีวิตเราหมุนเวียนเปลี่ยนไป บางทีก็ศูนย์ บางทีก็ติดลบ บางทีก็เป็นบวก วิ่งวนอยู่ตลอด แค่เราต้องอยู่กับมันให้ได้ มองทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งผิดปกติ ซึ่งถ้าเรามีสติ เราก็จะผ่านมันไปได้ง่ายขึ้น เฉยๆ กับมันมากขึ้น
02
บทเรียนจากความฝืน
เตเคยพูดบ่อยๆ ว่า ในวัยเด็กไม่ค่อยกล้าออกไปอยู่หน้าห้อง ไม่ชอบพูดในที่สาธารณะ ถ้ามองย้อนกลับไป การต้องฝืนทำเรื่องพวกนั้นนับเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่ามั้ย
คุ้มค่านะครับ เพราะมันช่วยให้เราเป็นคนที่กลมขึ้น นึกภาพเป็นกราฟพลังในเกม (ยิ้ม) แต่ก่อนเราอาจจะเก่งด้านไหนด้านหนึ่งแบบสุดๆ แต่อีกด้านเป็นศูนย์ การเรียนและวิชาการอาจจะดี แต่การแสดงออกและภาวะผู้นำไม่มีเลย เหมือนเป็นตัวละครที่มีด้านเดียว การฝืนช่วยให้เรามีมิติที่มากขึ้น กลมขึ้น หลายครั้งผมเสียดายเหมือนกันที่ไม่ลองทำอะไรให้เยอะกว่านี้ในวัยเด็ก อยากเรียนร้องเพลง เรียนเต้น แต่ตอนนั้นไม่กล้า เพราะแค่จะไปยืนพูดหน้าห้องก็ยากมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้อยากย้อนเวลาไปแก้ไขอะไรนะครับ เพราะการเป็นเด็กเนิร์ดที่สนใจอะไรบางอย่างในวัยเด็กของเราก็ช่วยให้เราแตกต่างจากคนอื่น เราก็ภูมิใจในจุดนี้มากๆ เหมือนกัน
เวลาต้องฝืนทำอะไรบางอย่าง เตคุยกับตัวเองยังไง
ผมทำงานกับคนรุ่นใหม่ก็จริง แต่ผมก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยคนรุ่นเก่า ซึ่งจุดแข็งอย่างหนึ่งของคนรุ่นนั้นคือความอดทน อดทนมาก ผมคิดว่าผมคงได้รับการปลูกฝังแบบนั้นมาพอสมควร มีบางครั้งที่ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับที่นี่เลย งานทุกอย่างยากไปหมด เคยถึงขั้นร้องไห้อยู่ในห้องแต่งตัว ไม่อยากออกไปทำงาน ได้แต่คิดว่าทำไมเราถึงต้องมาทนทำอะไรที่ไม่ถนัดขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็ฮึบ ฝึกตัวเองไปเรื่อยๆ หลายอย่างผมไม่ได้เก่งเลยนะครับ อย่างที่มาตอบคำถามวันนี้ จริงๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัด แต่ก็ฝึก หลายอย่างก็ฝึกซ้ำๆ ฝึกจนลืมไปแล้วว่า ครั้งหนึ่งเราทำสิ่งนี้ไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ
เวลาต้องฝืนลองทำสิ่งใหม่ๆ เคยรู้สึกว่าตัวเองจะตามเพื่อนที่เก่งกว่าไม่ทันบ้างรึเปล่า
ไม่เลยครับ เพราะเราก็พยายามในแบบของเรา และที่สำคัญมันไม่ใช่สายที่เราถนัดมาตั้งแต่ต้น คือถ้าสมมติแข่งขันวิชาการ เราเป็นเด็กเนิร์ด เราจะคิดเสมอว่าต้องชนะ (หัวเราะ) แต่พอเราเข้าวงการมาด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่ได้เก่ง เราเลยไม่มีความคิดที่จะแข่งขันกับใคร ก็ทำให้ดีในแบบของฉันก็พอ แต่ก็พยายามเรียน พยายามฝึกฝนนะครับ อย่างน้อยจะไม่ปล่อยให้คนมาว่าเราได้ว่าเราไม่เก่ง
แปลว่าถ้ามีโอกาสอะไรเข้ามา ต่อให้ไม่ถนัดก็จะไม่ปฏิเสธ
ใช่ ผมเป็นคนไม่ค่อยปฏิเสธโอกาสเท่าไหร่ครับ
การไม่ปฏิเสธโอกาสส่งผลดียังไงบ้าง
มันช่วยให้ได้สำรวจตัวเอง ต่อให้บางทีต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเราไม่ชอบมันจริงๆ ครั้งหน้าจะได้ไม่รับ แต่บางที ลองไปลองมาอาจจะพบว่าเราชอบมันก็ได้ เหมือนเรื่องการร้องเพลง ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบสิ่งนี้เลย ตอนเด็ก เวลาไปคาราโอเกะ ผมไม่เคยร้อง เหมือนถูกบังคับให้ไป ก้มหน้าก้มตา เขายื่นไมค์มา เราก็กลัว ไม่ชอบ แต่ทุกวันนี้กลายเป็นชอบร้องเพลงไปแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งมันเกิดจากการที่เราไม่ปฏิเสธโอกาส และอีกส่วนอาจจะเพราะมีคนเชื่อมั่นในตัวเรา คอยบอกเราว่าเราทำได้ ผมเป็นแบบนี้บ่อยมาก ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ต้องรอให้คนอื่นยื่นโอกาส ต้องรอให้เขาคอนเฟิร์มก่อนว่ามึงทำได้นะ จึงจะกล้าลงมือทำ
ทุกวันนี้ยังต้องรอให้คนอื่นคอนเฟิร์มหรือเปล่า หรือมั่นใจในตัวเองมากขึ้นแล้ว
ผสมๆ กันครับ ประเมินตัวเองครึ่งหนึ่ง ฟังคนอื่นอีกครึ่งหนึ่ง
ผมว่าความมั่นใจเป็นสิ่งที่ต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมถึงจะมีเสน่ห์ที่สุด เราอยากมั่นใจมากขึ้นนะ แต่ถ้ามีมากเกินก็ไม่ดีเหมือนกัน
03
การแสดงช่วยปลดล็อกปมครอบครัว
ในฐานะนักแสดง การที่คนดูจำเตได้ เปลี่ยนเตไปมากน้อยขนาดไหน
(นิ่งไป) ก็เคยชินกับการอยู่ในสปอตไลท์มากขึ้นครับ มั่นใจในตัวเองมากขึ้นด้วย ต้องเชื่อให้ได้ว่าสิ่งนี้คืออาชีพของเรา เราเริ่มสิ่งนี้ด้วยการทำเป็นงานพาร์ตไทม์ ทีแรกไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะทำได้ ลังเลมาตลอด แต่ในวันที่ต้องตัดสินใจลงเรือลำนี้ ผมต้องมั่นใจกับตัวเอง กล้าเขียนในแบบสอบถามว่าอาชีพของเราคือนักแสดง
จุดไหนที่เตเชื่อว่า เราคู่ควรกับการเป็นนักแสดงแล้ว
จุดที่เราภูมิใจกับผลงานของตัวเอง แต่ก่อนผมไม่กล้าเช็กงาน กลัวการดูมอนิเตอร์ แต่พอทำมาเรื่อยๆ เราเห็นพัฒนาการของตัวเอง เห็นแพสชั่นในอาชีพ เริ่มมั่นใจและคิดว่าตัวเองคู่ควรกับการทำสิ่งนี้
เตเคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นคนไม่ชอบการถูกชื่นชม ไม่ค่อยเชื่อว่ามีคนรัก ช่วยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังหน่อย
จริงๆ แล้วผมเคยติดปัญหาอย่างหนึ่ง ก็คือผมเป็นคนไม่ร้องไห้ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ร้องไห้ เหมือนเราไม่อนุญาตให้ตัวเองทำแบบนั้น แต่พอเรามั่นใจว่าจะแสดงเป็นอาชีพ ก็เลยอยากจัดการอะไรสักอย่างกับปมนี้ ผมไปปรึกษากับแอคติ้งโค้ชท่านหนึ่ง ไม่เคยทำแบบนี้เหมือนกัน แต่เขาพาผมย้อนกลับไปในอดีต ถามสิ่งต่างๆ หาคำตอบว่า ทำไมเราถึงไม่ร้องไห้ จนในที่สุด ผมก็เจอวันที่ผมบอกตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้ มันจำได้ถึงขั้นนั้นเลย จำได้ว่าเรานั่งอยู่ตรงไหนของบ้าน ตรงระเบียง ใกล้ประตู ผมพูดกับตัวเองว่า เราจะไม่ร้องไห้ ต่อให้ไม่มีใครรักเราก็ไม่เป็นไร เราต้องอยู่คนเดียวให้ได้
ทำไมตอนนั้นถึงคิดว่าไม่มีใครรักเรา
ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเราเป็นลูกคนกลางด้วย และก็อาจจะยังเด็กด้วย ซึ่งเราไม่ได้บอกว่าครอบครัวผิดนะ แต่ตอนนั้นเราดันเข้าใจแบบนั้น พอโตขึ้น มองย้อนไปถึงได้เห็นว่า เราเป็นคนทำอะไรในกรอบอยู่แล้ว เลยไม่แปลกที่ที่บ้านจะไม่ห่วง แต่พี่น้องเรานอกกรอบมากกว่า ที่บ้านก็เลยต้องโฟกัสกับพวกเขาเป็นพิเศษ พอแอคติ้งโค้ชพาย้อนเวลาไป ผมนึกออกเลยว่า จริงๆ ตัวเองเคยร้องไห้ทุกวัน ทำไมสอบได้คะแนนดีแล้วไม่ได้ของรางวัล ทำไมแม่ไม่กอด ร้องไห้ง่ายมากๆ จนวันหนึ่งผมบอกตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้ และผมก็พูดอีกหนึ่งประโยคที่น่ากลัวมากๆ ก็คือ ‘โลกนี้ไม่มีความยุติธรรมเลย’ แล้วหลังจากนั้นผมก็ไม่ร้องไห้อีก…
จบคลาสนั้นผมเข้าใจหลายอย่างมากขึ้น เห็นมุมมองของพ่อกับแม่ ผมโทรหาพี่สาว ได้ปลดล็อกอะไรหลายอย่าง โทรหาแม่ ยังไม่ทันได้เล่าอะไรให้ฟัง แต่แม่เล่าว่า ตัวเองก็เป็นลูกคนกลางที่เคยรู้สึกเหมือนกันกับเรา แล้วอะไรบางอย่างก็ทำให้เขาส่งต่อความรู้สึกนั้นมาโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดก็เข้าใจ เปิดใจ ปลดล็อกปมในครอบครัว
พอปลดล็อกแล้ว ความรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความรักหายไปมั้ย
โห (นิ่งไป) จริงๆ ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรนะ แต่แค่ไม่กล้ายอมรับมากกว่า เหตุการณ์นั้นช่วยให้ผมยอมรับมากขึ้น ช่วงนั้นใกล้วันเกิดเราด้วย ได้เจอครอบครัว เจอแฟนคลับ กลายเป็นว่าเราร้องไห้จนเกือบไม่ไหวเลย รู้สึกได้รับความรักเยอะมากๆ เหมือนคนคนหนึ่งที่เคยเชื่อมาตลอดว่าอยู่คนเดียวได้ มีปัญหาไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ไม่อยากรบกวนใคร แต่วันนั้น แฟนคลับพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เรากล้ายอมรับกับตัวเองว่า เราคู่ควรกับความรักที่อยู่รอบๆ อาจไม่ใช่ตลอดเวลา แต่ ณ วันนั้นเรามี วันนั้นแม่กอดเรา แฟนคลับยิ้มให้เรา เราถูกรายล้อมไปด้วยความรัก สิ่งที่เราตั้งใจทำถูกมองเห็น เขาย้ำให้เราเข้าใจว่า เพราะเราเป็นแบบนี้ไง เขาถึงรักเรา
ถ้าใครสักคนกำลังรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับคำชมหรือการถูกรัก เตจะบอกเขาว่ายังไง
ผมคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีความเป็นตัวเองที่ไม่มีใครเหมือนอยู่แล้ว มีศักยภาพ มีความพิเศษบางอย่าง เพียงแต่บางครั้ง เราอาจจะมองไม่เห็นสิ่งนั้น แต่เป็นคนอื่นที่มองเห็น และมีบางที่ที่เราจะได้แสดงสิ่งนั้นออกไป เพราะฉะนั้น มันคือการออกตามหาเสรีภาพและที่ที่เหมาะกับเรา ผมเชื่อว่ามันมีที่ที่เราคู่ควรแน่ๆ
04
กล้ายอมรับว่าเราคู่ควร
สำหรับเตในวัย 33 คำว่า ‘คู่ควร’ หมายถึงอะไร
ผมว่ามันคือคำที่มีความเป็นกลางมากๆ เหมือนคำว่า ‘กรรม’ หลายคนมักจะคิดว่า กรรมเป็นสิ่งไม่ดี ทั้งที่จริงๆ กรรมก็คือการกระทำ ไม่มีดีหรือไม่ดี คู่ควรก็เหมือนกัน มันคือสิ่งที่แปรผันกับการกระทำของเรา เราทำอะไร เราก็คู่ควรกับสิ่งนั้น ถ้าเราทำดี เราก็คู่ควรกับสิ่งดีๆ ถ้าทำไม่ดี ก็คู่ควรกับสิ่งไม่ดี แต่เข้าใจนะ บางคนอาจจะบอกว่า ทำไม่ดีแล้วได้ดี ก็มีเยอะแยะไป แต่ผมขอเลือกที่จะไม่เชื่อและไม่ให้ค่ากับมันดีกว่า เพราะถ้าเชื่อแบบนั้น สังคมจะอยู่กันยังไง มันมีอยู่ก็จริง แต่ผมขอไม่ให้ค่ากับมันดีกว่า
ทั้งที่คำว่า ‘คู่ควร’ เป็นคำที่ธรรมดามาก แต่ทำไมมันถึงดูส่งผลกระทบกับเตมากขนาดนั้น
มากจริงครับ โดยเฉพาะตอนที่เราผ่านช่วง 30 มาแล้ว ผ่านประสบการณ์ ผ่านแผลต่างๆ กลายเป็นว่าบางคำธรรมดาที่เราได้ยินมาตลอด มันส่งผลกับชีวิตเราเยอะมาก เช่น ตอนที่ผมทำงานหนักจนป่วย เข้าโรงพยาบาล ผมถึงเข้าใจความหมายของประโยคที่ว่า ‘การไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ’ ถึงใจเราจะพร้อม มีความสุขมากๆ แต่ถ้าร่างกายล้ม เราป่วย ก็ไม่มีความสุขอยู่ดี
คำว่า ‘เพราะเราคู่ควร’ ก็เหมือนกัน ตอนวัยรุ่นเราอาจจะฟังมันแล้วไม่คิดอะไร แต่ในหลายๆ เหตุการณ์ ในวันที่เราไม่ค่อยมั่นใจ ประโยค ‘เพราะเราคู่ควร’ มันส่งผลต่อใจเรามาก มันช่วยให้เราฮึกเหิม เราได้ย้อนถามตัวเองว่า ฉันคู่ควรมั้ย เราตั้งใจทำหรือยัง ซึ่งหลายครั้งมันนำไปสู่คำตอบที่ว่า ลุยไปได้เลย มั่นใจซะ เราคู่ควรกับสิ่งนี้แล้วจริงๆ
ถ้าในอนาคต เตต้องเจออุปสรรคในชีวิต คำว่า ‘คู่ควร’ จะช่วยเตยังไงได้บ้าง
หลายครั้งที่เราผ่านอุปสรรคไปไม่ได้ มันเกิดจากใจเราไม่เชื่อว่าเราทำได้ แต่ถ้าเรารู้สึกว่าตัวเองคู่ควร ความมั่นใจบางอย่างก็คงเกิดขึ้นพร้อมกัน ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็คงมีโอกาสก้าวผ่านอุปสรรคไปได้ ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเชื่อ ถ้าเราเริ่มด้วยความเชื่อที่ว่าเราทำไม่ได้ เราไม่เก่ง เราไม่คู่ควร มันก็คงเหมือนเราบล็อกทุกอย่าง และมันคงแทบไม่มีทางเลยที่ปัญหาจะดีขึ้น การมีคนอื่นเชื่อในตัวเรา การได้รับโอกาสจากคนรอบข้างเป็นเรื่องที่ดีนะครับ แต่ท้ายที่สุด เราต้องเชื่อให้ได้ว่า ที่เราเดินทางมาถึงตรงนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเราคู่ควร เราเชื่อมั่นในตัวเอง
ในวัย 33 ยังอยากจัดการอะไรให้ดีขึ้นอีกมั้ย
ผมอยากบาลานซ์ช่วงชีวิตต่างๆ ให้เหมาะสมกับวัยนั้นๆ ช่วงหนึ่งผมอยากหาวันเที่ยว อยากมีวันพัก แต่กลายเป็นว่า พอโอกาสเข้ามา ผมก็ไม่อยากปฏิเสธ นั่นแหละครับ เพราะงั้นผมเลยอยากลองหาว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะบริหารจัดการชีวิตให้สมดุล ทำยังไงให้แต่ละวันที่ทำงานมีความสุข ทั้งกับตัวเอง ทุกคน และตัวงาน ซึ่งตอนนี้ผมก็ทำได้ดีขึ้นมากนะครับ ทำงาน มีเวลาให้คนรอบข้าง และมีช่วงที่ได้อยู่กับตัวเองด้วย
05
Random Questions (คำถาม 30 ยังจ๋อย)
ถ้าเหลือเวลาอยู่บนโลกนี้ได้อีกหนึ่งอาทิตย์ เตจะทําอะไร
ออกไปเที่ยวครับ (ยิ้ม)
เที่ยวคนเดียวเลยมั้ย
คนเดียวครับ จริงๆ การเที่ยวคนเดียวเป็นหนึ่งในความฝันที่ผมยังไม่ได้ทำ และอยากทำทุกครั้ง แต่ปัญหาคือไม่มีเวลาเลย แค่จะไปเที่ยวกับเพื่อนก็แทบไม่มีเวลาแล้ว ผมอยากมากเลยนะ ไม่มีแพลน ไปชิลล์ๆ วางแผนหลวมๆ มั่วๆ เจอที่ตรงนี้แล้วชอบ ก็อยู่เลย ไม่ต้องสนใจว่าจะไปที่ไหนต่อ
สถานที่ที่อยากไปมากที่สุดคือที่ไหน
มาชูปิกชูครับ แต่เอาจริง ถ้าเป็นที่นี่น่าจะเป็นคนเดียวไม่ไหว ผมไม่ได้เอาตัวรอดเก่งขนาดนั้น ถ้าจะเที่ยวคนเดียวคงเริ่มต้นด้วยประเทศง่ายๆ ก่อนครับ (หัวเราะ)
คำถามต่อไป ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน เตเสียเวลาไปกับเรื่องอะไรมากที่สุด
อยู่เฉยๆ ครับ นั่งอยู่ในหัวตัวเอง ผมเป็นคนคิดเยอะ เสียเวลาไปกับการคิดในสิ่งที่ตัวเองสนใจ ผมอยู่ในโลกของตัวเองบ่อยมาก
เป็นเพราะอยู่คนเดียวจนชินด้วยมั้ย
คิดว่าใช่ครับ ซึ่งพอชินปุ๊บ กลายเป็นเราไม่เดือดร้อนอะไรที่ต้องอยู่คนเดียว เรามีอะไรให้คิด ให้ทำ ให้ดู บางช่วงผมก็ทำอะไรซ้ำๆ กินข้าวร้านเดิม ออกกำลังกาย เล่นเกม อ่านหนังสือ เอาจริง ผมมีเวลาอยู่คนเดียวไม่พอด้วยซ้ำ (หัวเราะ) การเป็นนักแสดงก็เลยดีอย่างหนึ่งตรงที่มันทำให้ผมไม่ต้องอยู่คนเดียวเยอะเกินไป ไม่งั้นผมคงอยู่เฉยๆ ทำอะไรเดิมๆ คงเป็นชีวิตที่น่าเบื่อมากครับ (หัวเราะ)
คำถามสุดท้าย ถ้าเลือกอาชีพใหม่ได้ทันทีโดยไม่มีข้อจำกัดจะเลือกทำอาชีพอะไร
มี 2 อย่าง หนึ่งอยากทำงานด้านเทคโนโลยี ไอ.ที. โทรศัพท์มือถือ อยู่ในองค์กรที่เราสนใจ กับสอง อยากสร้างศูนย์การเรียนรู้ หรือสร้างคอมมูนิตี้บางอย่างที่เราสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ ช่วยพัฒนาคน หรือให้ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยากทำในวัยนี้ครับ
บทความนี้คงช่วยให้ทุกคนเข้าใจว่า เพราะเหตุใด ในที่สุด เต—ตะวัน จึงพร้อมโอบกอดทั้งคำชมและความรักจากคนรอบข้าง เขาปรับวิธีคิด เติมความมั่นใจ พร้อมย้ำหนักแน่นว่า ตัวเองคู่ควรกับทุกสิ่งที่ได้รับและได้ทำ แน่นอนว่าเขายังต้องพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ยังมีความท้าทายอีกมากที่รอให้เขาในวัย 33 ฟันฝ่า ก้าวข้าม และเอาชนะ แต่อย่างน้อยที่สุด วันนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองมีดี ไปต่อได้ด้วยความมั่นใจ และพร้อมเดินทางไกลด้วยความเชื่อที่ว่าตัวเองคู่ควร…
ทุกคนก็เช่นกัน หลายครั้งเราอาจไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะสมกับความสำเร็จและสิ่งดีๆ ที่ได้รับแล้วหรือไม่ เรามีวันนี้ได้แค่เพราะโชคช่วยหรือผู้อื่นให้โอกาสหรือเปล่า จริงอยู่ที่ปัจจัยภายนอกย่อมมีส่วนต่อการดำเนินชีวิตไม่มากก็น้อย แต่ยอมรับเถอะว่า ไม่มีความสำเร็จใดได้มาเพราะโชคเพียงอย่างเดียว เรามีความสามารถจริงๆ และเราเองก็พยายามมาไม่น้อยไปกว่าใคร
เพราะฉะนั้น อยากให้ทุกคนลองมองไปยังกระจก เอื้อมมือไปจับที่อกข้างซ้าย หายใจเข้าลึกๆ แล้วย้ำกับตัวเองอย่างที่ เต—ตะวัน ย้ำ…
“เรามาถึงตรงนี้ได้เพราะเราคู่ควร”