หลังจากผ่านพ้นปี 2020 ได้ยังไม่ทันครบปี เราก็ได้เห็นวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติทั่วโลกชัดเจนขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งแบบที่เกิดขึ้นฉับพลันอย่างไม่ทันตั้งตัว และวิกฤตที่เป็นผลมาจากคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ถดถอยลงทุกวัน เป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนว่า โลกเรากำลังเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม
ความเปลี่ยนแปลงของโลก ส่งผลกระทบถึงทุกคน
ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันยากจะรับมือ อย่างไฟป่าข้ามปีในประเทศออสเตรเลียที่สร้างความสูญเสียให้กับสิ่งแวดล้อม ประชากร และระบบนิเวศวิทยาเป็นอย่างสูง หรือเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดในฟิลิปปินส์ที่เถ้าถ่านฝุ่นควันกินรัศมีวงกว้างกว่า 100 กิโลเมตร ทำให้ประชากรกว่า 300,000 คนต้องพากันอพยพหนีตาย
อีกทั้งปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่าง พายุเฮอริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในปีนี้ทำสถิติสูงถึง 28 ลูก และหากเกิดขึ้นอีกเพียง 4 ลูกก็จะทำลายสถิติจำนวนพายุเฮอริเคนสูงสุดในรอบปีเท่าที่เคยมีมา ซึ่งในช่วงกลางเดือนกันยายนยังเกิดพายุเฮอริเคน 3 ลูกพร้อมกัน หลังจากปรากฏการณ์นี้เคยเกิดขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อปี 1893 (สถิติจาก Scientific American)
ความปรวนแปรเหล่านี้ ในขั้นต้นอาจถูกพยากรณ์ได้ก่อนแต่เนิ่นๆ แต่จะดีกว่าไหมหากทุกคนที่อาศัยบนโลกใบนี้จะสร้างความร่วมมือร่วมใจกันปรับวิถีการใช้ชีวิตใหม่ เพื่อช่วยกันดูแลแผ่นดินผืนนี้ให้คงอยู่กับลูกหลานไปนานๆ เริ่มต้นตั้งแต่ภายในครอบครัว ไปจนถึงองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องดำเนินงานโดยใช้ความยั่งยืน หรือ Sustainability เป็นแกนหลักเพื่อสร้างสรรค์ธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำยังปลายน้ำ
Sustainability for Business Forum 2020 เวทีสัมมนาของความยั่งยืนทางธุรกิจ
ภาคธุรกิจหลากหลายหน่วยงานทั้งภายในประเทศและนานาชาติต่างขานรับแนวทางเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจและโลกใบนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ร่วมกันแสดงวิสัยทัศน์ของแต่ละองค์กรอัปเดตเทรนด์และการดำเนินงานเพื่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนร่วมกันภายในงาน Sustainability for Business Forum 2020 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 โดยหอการค้าฝรั่งเศส-ไทย หอการค้าไทย – เนเธอร์แลนด์ และหอการค้าไทย – สวีเดน
ภายในงานมีทั้งการจัดแสดงนิทรรศการนวัตกรรมและโซลูชั่นด้านสิ่งแวดล้อมของทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนระดับนานาชาติ รวมทั้งไฮไลต์ที่สำคัญบนเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นของผู้บริหารระดับ CEO จากทั่วโลกโดยครอบคลุมหัวเรื่องได้แก่ เมืองอัจฉริยะ ไลฟ์สไตล์ยั่งยืน และอาหารเพื่ออนาคต
ครั้งนี้ บริษัท L’Oreal เอง ในฐานะองค์กรระดับโลกที่ทำการประกาศวิสัยทัศน์ใหม่เพื่อความยั่งยืนสำหรับปี 2030 “L’ORÉAL FOR THE FUTURE” ที่ต้องการยกระดับและเปลี่ยนแปลงการทำงานทั้งภาคธุรกิจ และการช่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในภาพรวม จึงนำเสนอการประยุกต์ใช้ความยั่งยืนผ่านโครงสร้างและการดำเนินงานของบริษัท โดยคุณอินเนส คาสไดรา กรรมการผู้จัดการ
บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ร่วมเสวนาช่วง CEO ภายใต้หัวข้อ Green Recovery
“L’ORÉAL FOR THE FUTURE” เป้าหมายสู่ปี 2030
“L’ORÉAL FOR THE FUTURE” คือพันธสัญญาความยั่งยืนล่าสุดสำหรับปี 2030 ของ L’Oreal ที่มาพร้อมกลยุทธ์การดำเนินการที่แบ่งออกเป็น 2 ด้าน ทั้งในส่วนการปรับการดำเนินธุรกิจ และการร่วมช่วยแก้ไขปัญหาเร่งด่วนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
ส่วนแรกคือ การปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจให้เคารพต่อขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก (Planetary Boundaries) นั้น เกิดจากผลสรุปของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกที่ลงความเห็นว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมกำลังเข้าขั้นวิกฤตและเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญเพื่อมนุษยชาติ ทางบริษัทฯ จึงกำหนดเป้าหมายโดยใช้หลักพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อลดผลกระทบของกิจกรรมทั้งหมดตั้งแต่ต้นทางในส่วนของบริษัท และซัพพลายเออร์ ไปจนถึงผู้บริโภค
ในส่วนการช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทำควบคู่กันไปนั้น เน้นหัวข้อสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้แผนการช่วยเหลือปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมเร่งด่วน พร้อมกับการจัดสรรงบประมาณ 5.2 พันล้านบาท เพื่อนำไปช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั่วโลก
L’Oreal’s Sustainability จากแผนงานสู่การปฏิบัติและผลิตภัณฑ์
ความท้าทายของการเป็นบริษัทนานาชาติ อยู่ที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกันทุกแห่งทั่วโลก ดังนั้น จากเป้าหมายที่กำหนดชัดเจน มาสู่การแปลความหมายเป็นภาคปฏิบัติตั้งแต่การผลิตไปจนถึงมือผู้บริโภค เริ่มตั้งแต่ต้นทางที่โรงงานและศูนย์กระจายสินค้าของลอรีอัลทุกแห่งต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศสุทธิ์เป็นศูนย์ ด้วยการพลังงานอย่างเกิดประสิทธิภาพ และใช้พลังงานทดแทน 100% ภายในปี 2025 โดยในประเทศไทยเอง ลอรีอัลได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าสีเขียวแห่งแรกของเอเชียเมื่อปี 2017
ในส่วนบรรจุภัณฑ์ ภายในปี 2030 พลาสติกที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์พลาสติกของลอรีอัลทั้งหมด 100% จะมาจากพลาสติกรีไซเคิลหรือแหล่งวัสดุชีวภาพ และลูกค้าเองสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนขึ้นได้ผ่านฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่จะแสดงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมทางเว็บไซต์ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการทราบข้อมูลทั้งหมดของผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ โดยเฉพาะปริมาณ Carbon Footprint เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคที่รักโลก
และทางด้านผลิตภัณฑ์ก็ถูกพัฒนาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมกับส่งผลในเชิงบวกต่อสังคมมากขึ้น ทั้งในเรื่องสูตรและวัตถุดิบที่จะเน้นมาจากแหล่งชีวภาพ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และเน้นจัดซื้อจากเกษตรกรโดยตรง เพื่อส่งเสริมการค้าอย่างเป็นธรรม ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์แชมพูและบำรุงผิว ที่เลือกวัตถุดิบและหาพาร์ตเนอร์จากชุมชนเกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยกว่า 600 ครอบครัว พร้อมกับการสนับสนุนวิธีรักษาผืนดินที่ปลูกอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ดีต่อไป
วิสัยทัศน์ทั้งหมดนี้นับเป็นพันธสัญญาและความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของทางลอรีอัลเอง ซึ่งต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริโภคและทุกภาคส่วน เพื่อปกป้องโลกใบนี้ไปพร้อมๆ กัน
🌿 L’ORÉAL FOR THE FUTURE 🌿 คือวิสัยทัศน์เพื่อความยั่งยืนปี 2030 ของลอรีอัล กรุ๊ป มุ่งยกระดับเร่งการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงาน โดยคำนึงถึงขีดจำกัดความปลอดภัยของโลก🌏 พร้อมจัดทุน 150 ล้านยูโร ช่วยแก้ปัญหาเร่งด่วนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เป้าหมายใหม่เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนจะท้าทายแค่ไหน ไปชมกันค่ะ 😊รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก👉 bit.ly/L4TF_TH#LOrealForTheFuture #Commitment #Sustainability
Posted by L'Oréal Group on Thursday, 9 July 2020