สำหรับคนยุคนี้แล้ว การจะเป็นเจ้าของรถยนต์สักคัน แน่นอนว่าต้องพิจารณาจากเรื่องของฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งาน ดีไซน์ที่สวยงาม และสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม เรียกว่ามองรอบด้านอย่างละเอียดทีเดียว
แต่เท่านั้นยังไม่พอ เรื่องเทคโนโลยีความปลอดภัย ก็ยังต้องเป็นหนึ่งปัจจัยในการพิจารณาด้วย เพราะเรื่องของการใช้รถใช้ถนนทุกวันนี้ ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้การออกแบบรถในยุคใหม่ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย ด้วยการนำเทคโนโลยีสุดล้ำ เข้ามาปรับใช้ในการออกแบบมากขึ้น
และหนึ่งในรถ SUV ในตลาดที่โดดเด่นเรื่องความปลอดภัยสูงสุดตอนนี้ คงหนีไม่พ้น MG HS รถพรีเมียม SUV ที่ผสานเทคโนโลยีเข้าไปกับการขับขี่ ภายใต้แนวคิด ELEGANCE มาพร้อมกับดีไซน์ที่สวยงามโดดเด่น สะดวกสบายเหนือระดับแบบรถซีดานหรูแต่ให้ความคุ้มค่าและประโยชน์ใช้สอยที่มากกว่า พร้อมสมรรถนะที่เป็นเยี่ยม
ปลอดภัยรอบคันตั้งแต่โครงสร้างตัวถัง
ด้วยเอกลักษณ์ในการดีไซน์ทั้งภายนอกและภายใน ที่สามารถผสานความหรูหราและความสปอร์ตเข้ากันได้อย่างลงตัว ทำให้ MG HS เป็นหนึ่งในรถ SUV ที่ครองใจตลาดได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ภายใต้ดีไซน์อันสวยงามนั้น ยังแฝงไปด้วยความปลอดภัยที่ได้รับการออกแบบมาพร้อมๆ กัน ด้วยระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) อันแข็งแกร่ง เรียกว่าปลอดภัยตั้งแต่โครงสร้างกันเลยทีเดียว เสริมด้วยอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ ถุงลมนิรภัย 6 จุด เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ
หัวใจสำคัญคือระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป หรือ Advanced Synchronized Protection System มากถึง 25 ระบบ ประกอบไปด้วย Synchronized Protection System ซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุ และช่วยรักษาเสถียรภาพในการขับขี่ มากถึง 14 ระบบ เช่น ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ระบบลดความเสี่ยงที่จะทำให้รถพลิกคว่ำ ARP (Anti Rolling Program) ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) เป็นต้น ช่วยให้ขับขี่ได้อย่างอุ่นใจในทุกสภาพถนน
ปลอดภัยยิ่งขึ้นกับ ADAS ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ระดับที่ 2 (Partial Automation)
นอกจากระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน 14 ระบบแล้ว MG HS ยังได้ติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) มาให้อีก 11 ระบบ สามารถช่วยตรวจสอบ แจ้งเตือน และช่วยควบคุมการขับเคลื่อนรถยนต์โดยอัตโนมัติในบางส่วน (Partial Automation) เมื่อระบบตรวจพบว่าจะมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ เรียกว่าเป็นรถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ระดับที่ 2 ซึ่งเป็นระดับที่รถยนต์สามารถควบคุมความเร็วหรือการหมุนพวงมาลัยได้โดยอัตโนมัติ แต่ทั้งนี้ผู้ขับขี่ก็ยังคงมีหน้าที่ในการสังเกตสิ่งกีดขวาง ประเมินสถานการณ์ และตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยตนเอง ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้น
โดยระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ ADAS ครอบคลุมถึง 3 กลุ่มหลัก ไม่ว่าจะเป็น การช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา RDA (Rear Drive Assist) ทำงานเหมือนเป็นตาวิเศษช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นด้านข้างรถ ด้านหลังรถ รวมถึงจุุดอับสายตาทุกจุด ด้วยระบบเซ็นเซอร์ RDA ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังของรถ เมื่อเจอวัตถุหรือสิ่งกีดขวาง ระบบจะทำการเปิดสัญญาณไฟเตือน หรือไฟกะพริบที่มุมกระจกสามเหลี่ยมด้านหน้า เพื่อลดโอกาสการชนหรือเกิดอุบัติเหตุ
ระบบเตือนและควบคุมให้รถอยู่ในเลน LAS (Lane Assist System) เมื่อต้องขับรถนานๆ อาจมีอาการล้า หรือเสียสมาธิในการควบคุมรถ อาจเกิดโอกาสที่รถจะออกนอกเลนได้ ซึ่งระบบจะทำงานด้วยกล้องหน้าที่ติดตั้งภายในฝาครอบฐานกระจกมองหลัง และเมื่อความเร็วรถมากกว่า 60 กม./ชม. ระบบจะตรวจจับเส้นเลนถนนที่มีความชัดเจน หากตรวจพบว่าล้อรถด้านใดด้านหนึ่งกำลังจะทับเส้นเลน หรือออกนอกเลน ระบบจะส่งสัญญาณเสียงและแสดงสัญลักษณ์เตือนบนแผงหน้าปัด พร้อมช่วยควบคุมตัวรถโดยการปรับองศาพวงมาลัย ให้รถกลับมาอยู่ในเลนได้อย่างปลอดภัย รวมถึงมีระบบที่ช่วยรักษาตำแหน่งรถให้อยู่ตรงกลางเลน โดยจะทำงานเมื่อรถความเร็วรถมากกว่า 60 กม./ชม. หากระบบตรวจพบว่าผู้ขับขี่ไม่ได้ควบคุมพวงมาลัยอย่างต่อเนื่อง ระบบจะส่งสัญญาณเสียงเตือน พร้อมแสดงสัญลักษณ์บนแผงหน้าปัด เพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่จับพวงมาลัยทันที
และระบบที่ช่วยในการขับขี่ FDA (Front Drive Assist) ช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดจากการชนท้ายรถคันหน้า โดยจะทำหน้าที่ในการควบคุมความเร็วโดยอัตโนมัติ ทั้งในขณะที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง 30 – 150 กม./ชม. สามารถตั้งระยะห่างจากรถคันหน้าได้ 3 ระยะ ระบบจะทำการชะลอความเร็วให้สอดคล้องกับรถคันหน้า พร้อมทิ้งระยะห่างให้อยู่ในระยะปลอดภัย และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ ช่วยควบคุมระยะห่างพร้อมเบรกหรือเคลื่อนตามรถยนต์คันหน้าโดยอัตโนมัติ ขณะที่รถติดหรือกำลังเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ช่วยให้การขับขี่ในเมืองที่รถหนาแน่นปลอดภัยขึ้น นอกจากนั้นยังมีระบบช่วยเตือนเมื่อมีความเสี่ยงจะชนคันหน้า รวมถึงระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ เมื่อขับขี่ในเลนสวน เพื่อป้องกันการรบกวนสายตาของผู้ขับขี่คนอื่นที่ขับสวนมาอีกด้วย
i-SMART เทคโนโลยีเชื่อมต่อที่ผสานคนและรถเป็นหนึ่งเดียว
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้ MG HS ล้ำกว่ารถ SUV ทั่วไป คือระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่กลายเป็นฟังก์ชันที่โดดเด่นที่สุดของแบรนด์ไปแล้ว เพราะช่วยให้ผู้ขับขี่กับรถเป็นหนึ่งเดียวกัน สามารถสั่งการระบบได้ด้วยเสียงภาษาไทย ทั้งการโทรออก ระบบปรับอากาศ เปิดหน้าต่างฝั่งคนขับไปจนถึงหลังคาซันรูฟ แถมยังเป็นผู้ช่วยในการค้นหาสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรม และเส้นทางจราจรแบบเรียลไทม์ได้อีกด้วย ช่วยให้การขับขี่สะดวกสบายมากขึ้น ไม่ต้องละสายตาจากถนน นอกจากนั้นยังสามารถสั่งการรถ ตรวจเช็กรถ และค้นหารถได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว ผ่านแอปฯ i-SMART บนสมาร์ทโฟน
MG HS อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย เพิ่มความอุ่นใจ สะดวกสบาย ด้วยเทคโนโลยีเชื่อมต่อ เรื่องดีไซน์และสมรรถนะก็จัดเต็ม แต่รู้หรือไม่ว่า รถรุ่นนี้ยังมียังมีอีกหนึ่งระบบขับเคลื่อนให้เลือกใช้ นั่นคือ MG HS PHEV รถยนต์พลังงานทางเลือก ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี PLUG-IN HYBRID สามารถเลือกขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้ไกลสูงสุดถึง 67 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง อีกทั้งยังเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าเลย หากจะวิ่งระยะไกลก็มีระบบไฮบริดรองรับ ซึ่งเป็นการผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน ให้พละกำลังสูงสุดถึง 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตรเลยทีเดียว
MG HS เป็นมากกว่ารถ SUV ทั่วไป แต่เป็นรถที่เข้าใจ และตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ขับขี่ในยุคนี้ได้จริงๆ