หากลองมองท้องถนนทุกวันนี้ ปริมาณของรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ EV กำลังเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ตามสถานที่บริการน้ำมันต่างๆ หรือตามห้างสรรพสินค้ามีจุดชาร์จให้บริการเพิ่มมากขึ้น สะท้อนการตอบรับของตลาดผู้ใช้งานในไทยที่เปิดใจรับ EV มากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าเมื่อตลาดกระเตื้องขึ้น การแข่งขันก็ย่อมสูงขึ้นตาม ทำให้ MG หนึ่งในแบรนด์รถยนต์ EV ชั้นนำจากประเทศจีนที่ครองตำแหน่งเจ้าตลาดรถไฟฟ้าของเมืองไทย ต้องขยับตัวเพื่อขยายตลาด
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญที่ยืนยันถึงการเอาจริงของ MG คือ การเปิดตัว NEW MG MAXUS 9 รถไฟฟ้าแบบ 7 ที่นั่ง และก้าวเข้าสู่ตลาด Luxury เป็นครั้งแรก จะน่าสนใจและสร้างจุดเปลี่ยนให้กับแบรนด์อย่างไร ต้องไปติดตาม
สร้างตลาด EV ในแบบของ MG
นับตั้งแต่การเข้ามาของรถยนต์ในกลุ่มพลังงานทางเลือกที่ยังไม่สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานได้มากนัก เนื่องจากราคาของตัวรถที่สูงและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงที่สูงเช่นกัน เมื่อ MG เริ่มก้าวเข้ามาในตลาด EV เมืองไทย ด้วยการส่ง NEW MG ZS EV รถยนต์ EV 100% ทำให้คนไทยรู้จักและเปิดใจให้กับรถยนต์ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น ด้วยการเสนอขายในราคาที่จับต้องได้ และเป็นแบรนด์รถไฟฟ้าแบรนด์เดียวที่วางเครือข่ายสถานีชาร์จในทั่วประเทศ ก่อนจะทยอยส่งโมเดลอื่นๆ ตามมาอีกหลายรุ่นทั้ง NEW MG EP, NEW MG 4 ELECTRIC, NEW MG ES สังเกตได้ว่าก่อนหน้านี้ MG จะเน้นในกลุ่มรถระดับ B และ C segment เป็นหลัก และทั้ง 4 รุ่น ราคาจำหน่ายหลังหักส่วนลดจากมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ จะอยู่ในช่วงไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งสามารถสร้างชื่อ และทำตลาดได้เป็นอย่างดี
MG ก้าวเข้าสู่ตลาด Luxury ยกระดับตลาด EV ด้วยการเปิดตัว NEW MG MAXUS 9
ล่าสุดเมื่อเดือนต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา MG ได้สร้างเซอร์ไพรซ์ด้วยการเปิดตัวรถ EV โมเดลใหม่ล่าสุดอย่าง NEW MG MAXUS 9 แบบ 7 ที่นั่ง (e-MPV) ซึ่งถือเป็นก้าวใหญ่ก้าวสำคัญของ MG ในกลุ่ม Luxury เคาะราคาเริ่มต้นที่ 2.499 ล้านบาท โดยนำเสนอความหรูหรา ที่มาพร้อมกับความสะดวกสบายเป็นจุดขาย ดีไซน์หรูหราตั้งแต่ภายนอกกระจังหน้าแบบ Grille Less Design ประตูข้างทั้ง 2 ฝั่งเป็นแบบสไลด์ด้วยไฟฟ้า พร้อมฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า มีหลังคา Dual Panoramic Sunroof ให้ห้องโดยสารโปร่ง ไม่อึดอัด ส่วนภายในเน้นความสะดวกสบายของผู้โดยสาร ระบบปรับอากาศเป็นแบบแยกโซนด้านหน้าและด้านหลัง เบาะแถวที่สองยังดีไซน์ให้คล้ายกับที่นั่ง First Class บนเครื่องบินเลยทีเดียว โดยมีระบบนวดที่บันทึกได้ ปรับระดับอุณหภูมิได้ พร้อมโต๊ะที่สามารถพับเก็บได้ เสริมความบันเทิงด้วยจอกลางแบบสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว ติดตั้งระบบความปลอดภัยรอบคัน ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM พร้อมระบบ ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) รวม 25 ระบบ
นอกจากนั้น ด้านสมรรถนะยังยอดเยี่ยมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุดที่ 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตันเมตร แบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมไอออน จัดวางแบบ Cell-To-Pack ขนาดความจุ 90 kWh ให้ระยะวิ่งสูงสุดที่ 540 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC พร้อมรองรับการชาร์จเร็วสูงสุดที่ 120 kWh โดยชาร์จไฟจาก 30 – 80% ใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น และยังได้รับฟรี MG HOME CHARGER จำนวน 1 ชุด พร้อมติดตั้งฟรีอีกด้วย เรียกว่าถึงแม้จะเป็นการเจาะตลาดใหม่ แต่ก็ยังคงความคุ้มค่าที่มาพร้อมประสิทธิภาพตามแบบฉบับ MG ไม่เปลี่ยนแปลง
EV Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบของ MG
ไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพของตัวรถ ที่เป็นปัจจัยแรกๆ ที่ทำให้ผู้ใช้งานตัดสินใจเปลี่ยนใจมาใช้ EV เท่านั้น แต่สิ่งสำคัญมากไปกว่านั้นคือเรื่องของสถานีชาร์จที่ต้องเพียงพอในทุกพื้นที่ จากแผนงานการขยายเครือข่าย MG Super Charge ออกไปยังทั่วประเทศ โดยปัจจุบันพร้อมให้บริการแล้ว 130 แห่ง หนึ่งใน EV Ecosystem ที่เกิดขึ้นจริง และได้กลายเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้งานชาวไทยเปิดใจให้กับ MG มากยิ่งขึ้น
และอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของแบรนด์จากจีนในครั้งนี้ ก็คือการลงทุนสร้าง NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ที่จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่กว่า 437.5 ไร่ ด้วยงบลงทุนในระยะแรกมากกว่า 500 ล้านบาท เพื่อสร้างเป็นโรงงานผลิต ประกอบรถยนต์ รวมไปถึงเป็นคลังจัดเก็บอะไหล่รถยนต์ทุกรุ่น และที่สำคัญคือการใช้พื้นที่รองรับการผลิตรถยนต์ EV ในอนาคต ทั้งการพัฒนาชิ้นส่วนโมดูลแบตเตอรี่ และไลน์การผลิตแบตเตอรี่แบบครบวงจร
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่สะท้อนถึงความจริงจังในการกระตุ้นตลาด EV และวิสัยทัศน์ในการผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยของ MG ที่กำลังเดินหน้าไม่มีหยุด