ระยะเวลากว่า 130 ปี ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่น้อย โดยเฉพาะแบรนด์อย่าง ‘เนสท์เล่’ ที่อยู่คู่กับคนไทยมาโดยตลอด ทำให้การซื้อผลิตภัณฑ์เนสท์เล่ที่ร้านค้าใกล้บ้าน ก็เป็นเสมือนการซื้อประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่ง นับตั้งแต่ นมข้นหวานตราแหม่มทูนหัว (Milkmaid) ในปี พ.ศ. 2436 หรือสมัยรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน
“ในฐานะบริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายใต้ปรัชญาการทำงาน Good food, Good life อาหารที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเนสท์เล่ เรายึดมั่นต่อเจตนารมณ์ในการเปิดพลังแห่งอาหาร เพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อทุกคนในวันนี้ และในอนาคต ควบคู่กับแผนการทำงาน การลงทุน การพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนไทย และสัตว์เลี้ยง ตลอดจนฟื้นฟูดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างคุณค่าร่วมกันให้กับทุกภาคส่วน”
คุณวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวถึงความตั้งใจของเนสท์เล่
ด้วยเจตนารมณ์และการลงมือทำจริงตามเป้าหมาย จึงทำให้เนสท์เล่เติบโตสู่การเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำในประเทศไทย รวมทั้งผลิตภัณฑ์คุณภาพที่หลากหลายของเนสท์เล่ ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทย ลองไปสำรวจเส้นทางการลงทุนในประเทศไทยของเนสท์เล่ พร้อมเหตุผลที่ทำให้เนสท์เล่ได้รับความไว้วางใจอย่างต่อเนื่องมาเกือบ 130 ปี
จากจุดเริ่มต้นที่เนสท์เล่ได้มองเห็นถึงศักยภาพของตลาดไทย จึงได้ก่อตั้งโรงงานแห่งแรกในประเทศไทย ด้วยการร่วมทุนในบริษัท ยูไนเต็ด มิลค์ จำกัด โดยเริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2510 ก่อนจะมีการลงทุนทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สร้างการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี
ในช่วงปี พ.ศ. 2560 – 2565 เนสท์เล่ได้ลงทุนเพิ่มกว่า 10,800 ล้านบาท รวมถึงเปิดโรงงานใหม่ 3 แห่ง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยให้ดียิ่งขึ้น โรงงานแห่งแรกคือ โรงงานเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ ที่ จ.สุราษฎร์ธานี เปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2560 ด้วยเงินลงทุน 1,800 ล้านบาท เพื่อผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่มคุณภาพส่งมอบให้ถึงมือผู้บริโภคในจังหวัดภาคใต้ของไทยมากขึ้น ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2563 เนสท์เล่เปิดโรงงานยูเอชที เนสท์เล่นวนคร 7 ด้วยมูลค่าการลงทุน 1,500 ล้านบาท เพื่อผลิตเครื่องดื่มยูเอชทีภายใต้แบรนด์ไมโล และตราหมี
ในช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา เนสท์เล่ได้เจาะกลุ่มตลาดสัตว์เลี้ยงอย่างเป็นทางการ โดยเปิดดำเนินการโรงงานเนสท์เล่ เพียวริน่า เพ็ทแคร์ ด้วยเงินลงทุน 5,000 ล้านบาท เพื่อผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกคุณภาพสูงให้กับตลาดทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังได้ลงทุนเพื่อขยายการเข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้น ปรับตัวไปสู่ยุคของ e-Commerce โดยได้ก่อตั้งฝ่าย eBusiness ขึ้นใน พ.ศ. 2562 ด้วยงบลงทุนกว่า 335 ล้านบาท เพื่อทรานสฟอร์มประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ให้โดนใจผู้บริโภคคนไทยมากขึ้น
ในฐานะที่เนสท์เล่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ จึงมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ตั้งแต่การสร้างงานที่มั่นคงให้คนไทย 3,800 คน ไปจนถึงการจ่ายภาษีโดยเฉลี่ยในแต่ละปีกว่า 600 ล้านบาท
ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย เนสท์เล่จะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการขยายธุรกิจในประเทศไทย
พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ในฐานะเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญา ‘Good food, Good life อาหารที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี’
เนสท์เล่จึงเป็นบริษัทที่ร่วมขับเคลื่อนธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย ให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต