ปัจจุบันปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เป็นหนึ่งในปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระ ทบต่อทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เนสท์เล่ ในฐานะผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก จึงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้เจตนารมณ์ในการเปิดพลังแห่งอาหารเพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อทุกคนในวันนี้และในอนาคต
เนสท์เล่ ประเทศไทย จึงได้ประกาศแผนงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Roadmap) เพื่อสอดรับกับคำมั่นสัญญาของเนสท์เล่ระดับโลก โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ด้วยมิติความยั่งยืนทั้ง 4 ด้าน
นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า เปิดเผยว่า ตลอด 150 ปีที่ผ่านมา เนสท์เล่มุ่งเน้นดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทอาหารที่ดี ด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีรสชาติดีและมีประโยชน์ด้านโภชนาการ แต่ในปัจจุบันที่โลกเผชิญปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เนสท์เล่ต้องการขับเคลื่อนบริษัทให้เป็นหัวเรือใหญ่นำร่องสร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกน่าอยู่ขึ้น
“เราต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างเร่งด่วน และนี่จึงเป็นเหตุผลที่เนสท์เล่ได้กำหนดแผนงานด้านความยั่งยืนในประเทศไทย และจะดำเนินงานครอบคลุมทั้งห่วงโซ่คุณค่า เพื่อให้เกิดการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน เพื่อประเทศไทยและโลกที่ดีขึ้นสำหรับคนรุ่นต่อไป”
ในการนี้ เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้กำหนดแผนงานด้านความยั่งยืน เพื่อผลักดันเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 ประกอบด้วยมิติความยั่งยืน 4 ด้าน อันได้แก่
1. บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก (Sustainable Packaging)
เนสท์เล่ ประเทศไทย มุ่งมั่นสร้างสังคมปลอดขยะเพื่อคนรุ่นต่อไป
สอดคล้องกับเป้าหมายของเนสท์เล่ระดับโลกซึ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100% รวมถึงลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ลง 1 ใน 3 ภายในปี 2025 ซึ่งปัจจุบันบรรจุภัณฑ์ของเนสท์เล่ในไทยกว่า 90% ก็สามารถนำไปรีไซเคิลได้แล้ว
นอกจากนั้น เนสท์เล่ ยังได้สร้างสรรค์นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อลดการใช้พลาสติก และทำให้บรรจุภัณฑ์สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ไม่ว่าจะเป็น หลอดกระดาษโค้งงอได้ ที่นำมาใช้เป็นครั้งแรกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ UHT ซึ่งทดแทนการใช้หลอดพลาสติกกว่า 500 ล้านหลอดในปี 2021, บรรจุภัณฑ์แบบ Monostructure ที่ผลิตจากพลาสติกประเภทเดียวกัน และสามารถนำไปรีไซเคิลได้เป็นครั้งแรกของโลก, บรรจุภัณฑ์ภายนอกแบบกระดาษ รวมถึงซองไอศกรีมแบบกระดาษโดยไม่มีการเคลือบพลาสติก ซึ่งถูกใช้เป็นครั้งแรกในธุรกิจไอศกรีมในประเทศไทย, กาแฟกระป๋องอะลูมิเนียม 100% ซึ่งสามารถรีไซเคิลได้ นอกจากนั้นยังลดปริมาณการใช้พลาสติกผลิตใหม่ในการผลิตขวดน้ำดื่มและพลาสติกหุ้มแพ็กบรรจุภัณฑ์
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นทำให้ เนสท์เล่ ประเทศไทย สามารถลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ได้มากถึง 470 ตันภายในปี 2021
2. การดูแลและจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน (Water Stewardship)
นอกจากให้ความสำคัญกับการลดปริมาณขยะ เนสท์เล่ ยังให้ความสำคัญกับการดูแลและการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนทั้งภายในโรงงานและบริเวณชุมชนรอบข้างไม่แพ้กัน
ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในกระบวนการผลิต ส่งผลให้สามารถลดการใช้น้ำในโรงงานได้มากถึง 4.8% ต่อการผลิตผลิตภัณฑ์ 1 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2018 และเนสท์เล่ยังเป็นผู้ผลิตน้ำรายเดียวในประเทศไทยที่ได้การรับรองมาตรฐานการดูแลและจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนในระดับสากลจาก Alliance for Water Stewardship (AWS) เป็นเครื่องการันตีอย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย
ในด้านการร่วมมือกับชุมชนบริเวณใกล้เคียงโรงงานผลิตน้ำ เนสท์เล่ ริเริ่ม “โครงการเยาวชนพิทักษ์สายน้ำ” ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาเข้าสู่ปีที่ 7 แล้ว โครงการนี้มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการปกป้องและฟื้นฟูคุณภาพน้ำในคลองขนมจีน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อปลูกฝังการจัดการทรัพยากรณ์น้ำให้แก่เยาวชนและชุมชนโดยรอบ
โครงการนี้ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี และเห็นผลเชิงประจักษ์จากตัวชี้วัดทางเคมีและชีวภาพ ว่าน้ำในคลองขนมจีนมีคุณภาพดีขึ้น จำนวนสัตว์น้ำ เช่น หอยกาบ หอยขม และกุ้งฝอย มีมากขึ้น ส่งผลให้ชุมชนสามารถนำน้ำในคลองมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นถึง 1.2 ล้านลบ.ม. เมื่อเทียบกับอดีต ทั้งในการอุปโภค การเกษตร และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
3. การจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน (Sustainable Sourcing)
อีกหนึ่งสิ่งที่ เนสท์เล่ ประเทศไทย ให้ความสำคัญเสมอมาคือการจัดหาวัตถุดิบในการผลิตอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ซึ่ง เนสท์เล่ ได้ใช้น้ำนมวัวและเมล็ดกาแฟโรบัสต้า ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน Sustainable sourcing 100% พร้อมทั้งส่งเสริมเกษตรกรให้ได้รับความรู้เรื่องการทำเกษตรอย่างยั่งยืน
ผ่านโครงการ “Nescafé Plan” ซึ่งช่วยถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดีด้านการเกษตรในการปลูกกาแฟ ส่งเสริมการปลูกพืชร่วม เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรดิน เพื่อให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนจากผลิตผลในระยะยาว รวมทั้งยังช่วยเหลือด้านการกระจายต้นกล้ากาแฟสายพันธุ์ดีให้กับเกษตรกร ซึ่งในปัจจุบัน เนสท์เล่ มีส่วนสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟกว่า 2,500 คนให้ผ่านเกณฑ์การทำสวนกาแฟตามมาตรฐานสากล 4C (Common Code for Coffee Community)
อีกหนึ่งวัตถุดิบสำคัญในผลิตภัณฑ์เนสท์เล่คือนม ซึ่งต้องเป็นน้ำนมดิบจากฟาร์มโคนมที่ได้มาตรฐาน เนสท์เล่ จึงสนับสนุนการทำเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูในการจัดการฟาร์มโคนมด้วยเช่นกัน โดยจัดการอบรมส่งเสริมความรู้แก่เกษตรกรฟาร์มโคนม สนันสนุนการจัดการระบบโภชนะสำหรับวัวเพื่อเพิ่มคุณภาพและปริมาณน้ำนมดิบ ยกระดับมาตรฐานฟาร์มให้ตรงตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม และให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในการเข้าถึงแหล่งน้ำ ไปจนถึงนำพลังงานทางเลือกมาใช้ในฟาร์มอีกด้วย
4. ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Reduction)
ก๊าซเรือนกระจกเป็นอีกสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มิติที่ 4 ในแผนงานด้านความยั่งยืนของ เนสท์เล่ ประเทศไทย จึงเป็นเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตและการขนส่งสินค้า
โดยได้นำร่องใช้รถพลังงานไฟฟ้าในการขนส่งผลิตภัณฑ์คิทแคทแบบควบคุมอุณหภูมิ รวมถึงรถสามล้อไฟฟ้าขายไอศกรีมเนสท์เล่ ทั้งยังมองเห็นความสำคัญไปถึงการเปลี่ยนแปลงกลุ่มรถยนต์ผู้บริหารให้เป็นรถยนต์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง ซึ่งตั้งเป้าเปลี่ยนให้ได้กว่า 41% ภายในปี 2022 ที่จะถึงนี้
ในแง่การผลิต บริษัทริเริ่มใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในโรงงานและกระบวนการผลิต พร้อมตั้งเป้าหมายในการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2025 นอกจากนั้น เนสท์เล่ ยังใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการใช้พลังงานและน้ำ รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยแนวคิด 3R คือ Reduce, Rethink, Replace และปัจจุบันโรงงานทุกแห่งของเนสท์เล่ไม่มีขยะฝังกลบอีกด้วย
เนสท์เล่ ประเทศไทย มั่นใจว่าบริษัทจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% ภายในปี 2025 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงครึ่งหนึ่งในปี 2030 และบรรลุเป้าหมายในปี 2050 ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ในที่สุด
“เนสท์เล่ ประเทศไทย จะมุ่งขับเคลื่อนคำมั่นสัญญาของเนสท์เล่ระดับโลกในการเดินสู่เส้นทางการดูแลและฟื้นฟู หรือ Regeneration โดยมีเป้าหมายสำคัญคือสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่และส่งผลดีต่อระบบอาหารในวงกว้าง ปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศ ตลอดจนเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเกษตรกร และพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ชุมชน ด้วยคำมั่นสัญญาระยะยาวของเราในการดูแลและฟื้นฟูเพื่อสร้างโลกที่ดีให้กับคนรุ่นต่อไป” นายวิคเตอร์กล่าวทิ้งท้าย