กลั่นกรองพลังงานความคิด สร้างวิถีชีวิตที่ยั่งยืนด้วยกลไกของสมองและสองมือ จากความตระหนักถึงพลังงานจากทรัพยากรธรรมชาติมีแต่จะหมดไป การคิดค้นสร้างสรรค์ทางเลือกใหม่เพื่อการใช้ชีวิตประจำวันที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกคนควรใส่ใจทั้งในฐานะผู้คิดค้นและผู้บริโภค
ในขณะที่ Nissan เองเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกต่อเนื่องมายาวนาน พร้อมกับการพัฒนาสมรรถนะรถยนต์เดิมให้ดียิ่งขึ้น ก็มีเส้นทางคู่ขนานอีกทางหนึ่งที่คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ซึ่งนิยามตัวเองว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่เริ่มนับศูนย์ และเส้นทางนี้เองที่เป็นความหวังอีกครั้งของโลกที่จะช่วยเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้น นั่นทำให้เกือบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา Nissan Leaf คือรถยนต์ไฟฟ้าขายดีที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบัน ด้วยยอดขายรวมทั่วโลกสูงสุดถึง 450,000 คัน
เราจึงชวน มร. ราเมช นาราสิมัน ประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มาถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานกับรถยนต์ไฟฟ้าของนิสสัน และอนาคตของวงการ EV ในเมืองไทย
ความสนใจในเรื่องรถยนต์ของคุณราเมชช่วยในเรื่องการทำงานกับนิสสันได้อย่างไรบ้าง?
งานสายไฟแนนซ์กับรถยนต์คืองานที่ผมสนใจตั้งแต่ยังเรียน หลายคนอาจจะคิดว่าไปด้วยกันไม่ได้ แต่ผมก็โชคดีมากที่ได้เรียนรู้และเข้ามาทำงานในสายที่ตัวเองชื่นชอบหลงใหล ตลอด 20 ปีที่ทำงานมานี้ ผมเดินทางไปทำงานทั้งประเทศจีน สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และตอนนี้ที่ประเทศไทย สิ่งที่ผมต้องเรียนรู้คือตลาดของประเทศไทยเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับผม แต่เรื่องที่สำคัญไม่แพ้กับเรื่องตลาดก็คือพนักงาน นั่นคือเราต้องทำให้ทุกคนมีแพสชั่นเดียวกันที่จะนำไปสู่ความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งผมเชื่อมั่นว่ารากฐานของมันคือความเชื่อใจ ความโปร่งใส และองค์กร
กระแสของการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ในมุมมองของคุณราเมชทั่วโลกตอนนี้เป็นอย่างไร และประเทศไทยกำลังอยู่ในขั้นไหน?
ในส่วนของระดับโลก เทรนด์การใช้ EV กำลังเพิ่มขึ้น เมื่อปีที่แล้วสถิติการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 23 เท่า และเฉพาะปีที่แล้ว ยอดการจำหน่าย EV ก็ไปแตะที่ 4 ล้านคัน ซึ่งนับเป็นหมุดหมายที่สำคัญ โดยจากการสำรวจของ Deloitte เชื่อว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า จะไปถึงจุดหักเหของวงการรถ EV ที่มียอดจำหน่ายมากกว่ารถยนต์
ส่วนสำหรับในประเทศไทย ทาง Nissan เองก็ได้ปล่อย Leaf รวมทั้งแต่ละแบรนด์ก็ทยอยปล่อยรถ EV ของตัวเองออกมา แต่กุญแจสำคัญนั่นคือความตั้งใจของรัฐบาล ซึ่งทางไทยเองก็วางเป้าหมายให้เกิดการใช้งานรถ EV จำนวน 1.2 ล้านคันภายในปี 2036 ซึ่งก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของประเทศไทย
เหตุใดการใช้ EV จึงกลายเป็นประเด็นที่ผู้คนให้ความสนใจ เพราะเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญหรือไม่?
ผมคิดว่าผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรื่องนี้ได้รับความสนใจ ทั้งปัญหามลภาวะ การปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มลภาวะทางเสียง ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ผู้คนตระหนักถึงกันทุกวันนี้ และรถ EV ก็เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพที่แก้ปัญหาทั้งหมดได้ โดยที่ยังคงขับได้สนุกเหมือนเดิม
ส่วนในมุมมองทางด้านสิ่งแวดล้อม ทุกครั้งที่ขับรถ EV เราจะช่วยลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4.5 ตัน ในส่วนของเอเชีย อีกเรื่องใหญ่คือมลภาวะทางเสียง ซึ่งค่าปกติอยู่ที่ 76 เดซิเบล แต่กับ Leaf อยู่ที่ 21 เดซิเบลเท่านั้น ทั้งหมดคือเรื่องที่เราต้องตระหนักถึงและพยายามลดให้ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมคิดว่า EV มีบทบาทสำคัญต่อโลกและเป็นผู้เล่นสำคัญในอนาคต 3 เรื่อง ได้แก่ เรื่องแรกคือความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม เรื่องที่สองคือการลดมลภาวะทางเสียง และเรื่องที่สามคือ ความประหยัด ซึ่งต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ของรถ EV ต่ำกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปใน ดังนั้นผมคิดว่า ด้วยเหตุจําเป็นเหล่านี้ที่เป็นข้อได้เปรียบของรถ EV
จากประสบการณ์ทำงานในประเทศไทย สถานการณ์เกี่ยวกับรถ EV และโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง?
ผมว่าในประเทศไทย เรากำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านมาสู่การใช้รถ EV และเรื่องโครงสร้างพื้นฐานก็ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเมื่อเทียบกับประเทศในยุโรป แต่เรากำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว นิสสันเองก็เป็นผู้นำแถวหน้าในเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานผ่านทางการเซ็นสัญญา MOUs ที่เราทำกับส่วนราชการต่างๆ อย่างการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ทางนิสสันเองก็มีการติดตั้งสถานีชาร์จไฟที่โชว์รูมดีเลอร์ของนิสสัน 32 แห่งที่ขาย Leaf และกำลังเพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ แน่นอนในเมืองไทย
ประเทศไทยพร้อมแล้วหรือยังที่จะเปลี่ยนมาใช้รถ EV แบบ 100%?
ผมคิดว่าตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงแบบสมบูรณ์ เรากําลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้รถ EV แต่ผมอยากชวนคุยในเรื่องการเปลี่ยนมาใช้ระบบไฟฟ้า เพราะรถ EV เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งการใช้ระบบไฟฟ้าก็รวมไปถึงเทคโนโลยีอื่นๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่นิสสันคิดว่าเป็นส่วนที่ทําให้เทคโนโลยีไฟฟ้าใช้งานได้ อย่างของเราก็มี E-Power ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่แบบง่ายๆ แต่มีวิธีการชาร์จที่แตกต่างนิดหน่อยตรงที่เรามีชิ้นส่วนเล็กๆ อยู่ ทำให้ประสบการณ์ขับขี่รถ EV แทบจะไม่ต่างจากรถยนต์ทั่วไป ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไปพร้อมกับระบบโครงสร้างพื้นฐานที่กําลังพัฒนาในประเทศ
อะไรคือปัญหาที่คนไทยยังคงกังวลเกี่ยวกับการใช้รถ EV แล้วนิสสันช่วยจัดการความกังวลเหล่านี้ของผู้บริโภคได้อย่างไร?
ส่วนมากแล้วในประเทศไทย ผู้คนจะกังวลว่ารถ EV จะขับตอนฝนตกได้ไหม ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะเราขาย Leaf ในประเทศที่มีสภาพอากาศปรวนแปรสูง และพิสูจน์ให้เห็นว่าสภาพอากาศไม่ใช่ปัญหาใดๆ ในการขับขี่ และอีกส่วนคือเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่คนไทยยังกลัวว่าจะไม่มีสถานีเติมไฟฟ้าหรือเปล่า ซึ่งอย่างที่เล่าไปข้างต้นว่าระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้รถ EV กำลังเพิ่มขึ้นทุกวัน
อีกเรื่องคือ ประสิทธิภาพของ Leaf เอง เริ่มต้นตั้งแต่สร้างเพื่อเป็นรถ EV มันถูกดีไซน์เพื่อเป็นรถ EV ถูกปล่อยเพื่อเป็นรถ EV และถูกขายเป็นรถ EV นั่นจึงเป็นผลดีอย่างมาก ตัวรถจึงมาพร้อมกับฟีเจอร์เพื่อความปลอดภัยมากมาย ส่วนที่ผมชอบที่สุดคือ e-Pedal ส่วนฟีเจอร์อื่นที่ชอบก็คือการเบรกที่เอาพลังงานกลับคืนมาใช้ใหม่ได้ ผมเคยขับรถขึ้นดอยอินทนนท์ ช่วงขาขึ้น พลังงานอยู่ที่ 90% ส่วนขาลงเหลือกลับมา 34% ซึ่งส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องนวัตกรรมของเรา และทั้งหมดพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่ใน Leaf เราโฟกัสไปถึงจุดที่ลูกค้ากําลังมองหาอยู่
หากต้องการสร้างระบบนิเวศของรถ EV ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย จะต้องมีปัจจัยอะไรบ้าง?
อันดับแรกสำหรับนิสสัน เรามีพันธมิตรมากมาย นี่เป็นกุญแจสำคัญคือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและเอกชนเหมือนอย่างที่นิสสันกำลังทำอยู่ ทั้งกับ กฟน. กฟภ. และหน่วยงานส่วนท้องถิ่นอื่นๆ เพื่อช่วยขยายโครงสร้างพื้นฐานให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทย และแน่นอนว่า การสนับสนุนจากภาครัฐจะช่วยให้การใช้งานรถ EV เกิดขึ้นได้สำเร็จ อย่างที่ประกาศไว้ว่าจะทำให้เกิดการใช้งานรถ EV จำนวน 1.2 ล้านคันภายในปี 2036 แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเรา ในฐานะลูกค้าผู้ใช้งานยานยนต์ ที่จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรม เราต้องเริ่มเปลี่ยนความคิดในเรื่องการบริโภคที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งภาวะเรือนกระจกและมลภาวะทางเสียง ถ้าเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วก็เท่ากับเราเริ่มลดปัญหาเหล่านี้ลง เพราะทุกคนคือผู้เล่นสำคัญ และนิสสันเองก็เข้าร่วมด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้การใช้รถ EV เป็นเรื่องง่าย ไปพร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
มองอนาคตของการใช้รถ EV ไว้อย่างไร?
รถยนต์ไฟฟ้ามีความสามารถพิเศษเฉพาะหลายอย่างที่ช่วยแก้ปัญหาบนโลกได้จริง มีประโยชน์สําหรับผู้คนมากเท่าที่จะเป็นไปได้ เราไม่ได้สร้างเทคโนโลยีเพื่อจะทดแทนผู้คน แต่เราสร้างเพื่อทําให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น และเปลี่ยนแปลงทางเลือกของยานพาหนะที่เรามีอยู่ นิสสัน เรามีเป้าหมายที่จะมองข้ามขั้น เราไม่ได้แค่พยากรณ์เทคโนโลยีและเทรนด์ล่วงหน้า แต่เราเป็นผู้กําหนดนิยามเหล่านี้ด้วยตัวเอง
ส่วนตัวคุณราเมชชอบฟังก์ชั่นใดที่สุดในรถยนต์นิสสัน Leaf?
ผมชอบ e-Pedal ที่แอ็คทีฟได้เพียงกดปุ่มเริ่มต้น ฟังก์ชั่นนี้จะช่วยคุณทั้งเร่งความเร็วและเบรกได้ในแป้นเดียว และโดยเฉพาะในประเทศไทยที่การจราจรคับคั่ง การขับขี่อย่างสบาย ความปลอดภัย และความสะดวกเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะตอบความสนุกในการขับรถ และ e-Pedal จึงเป็นส่วนที่ผมชอบที่สุดในนิสสัน Leaf