ในสังคมปัจจุบัน บทบาทและสถานะของผู้คนล้วนถูกกำหนดด้วยเงื่อนไขบางประการ อาทิ เพศ อายุ อาชีพ ฐานะความเป็นอยู่ หรือพื้นเพถิ่นกำเนิด
สิ่งเหล่านี้ได้ประกอบสร้างกลายมาเป็นบทบาททางสังคมของผู้คนที่แตกต่างกัน ทว่าในขณะเดียวกัน ก็กลายมาเป็นสิ่งที่สร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมให้กับผู้คนที่แตกต่างด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ทางเศรษฐกิจ หรือความเหลื่อมล้ำจากการจัดการสวัสดิการของรัฐ
สิ่งต่างๆ ล้วนสร้างบาดแผล ทั้งทางเศรษฐกิจและทางจิตใจให้กับผู้ถูกกดทับเสมอมา ผนวกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ช่องว่างกว้างขวางและทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะยังคงมีกลุ่มคนที่สังคมมองข้ามอย่างไม่เหลียวแล ไม่ว่าจะเป็นคนตัวเล็ก คนชายขอบ แรงงาน คนชรา คนพิการ หรือแม้กระทั่งตัวเราก็อาจจะกำลังถูกมองข้ามในสังคม แต่ยังคงมีพื้นที่หนึ่ง ที่สามารถเติมเต็มความสุข สร้างโอกาส สร้างความเท่าเทียมให้กับผู้คนทุกกลุ่มไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม ที่แห่งนั้นคือ พีทีที สเตชั่น
กลุ่มคนที่เปราะบางที่สุดในสังคมกำลังถูกมองข้าม
หนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกมองข้ามมากที่สุดในสังคมคือกลุ่มคนชราและคนพิการ คนชราในวันนี้คือคนหนุ่มสาวที่เคยเป็นเสาหลักและอิฐ ที่ค่อยๆ ก่อร่างประเทศไทยขึ้นมาในยุคที่เศรษฐกิจไทยเติบโต แต่เมื่อประเทศไทยกำลังก้าวขาเข้าสู่การเป็นประเทศผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ สิ่งที่เขาเคยลงทุนลงแรงไปกำลังจะถูกลืมเลือนเหลือเพียงแค่ชื่อ และค่อยๆ หายไปกับความทรงจำของคนรุ่นก่อน นอกจากคนชรา คนอีกกลุ่มที่มักถูกมองข้ามอยู่เสมอ นั่นคือกลุ่มบุคคลทุพพลภาพหรือคนพิการ ไม่ว่าจะเป็นมิติทางด้านเศรษฐกิจอย่าง สวัสดิการ เบี้ยยังชีพ หรือแม้การเข้าถึงอาชีพที่ไม่เท่าเทียม เพียงเพราะข้อจำกัดทางด้านร่างกาย
มากไปกว่ามิติทางด้านเศรษฐกิจที่กลุ่มคนทั้งสองถูกมองข้าม พวกเขากำลังถูกมองข้ามในมิติทางสังคมและการใช้ชีวิตด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทางเท้าที่ไม่เอื้อต่อการใช้รถเข็น หรือเหล่าอาคาร บ้านเรือนที่ไม่ถูกออกแบบตามหลักอารยสถาปัตย์ ซึ่งไม่เอื้อต่อการใช้งาน จนทำให้พวกเขาต่างรู้สึกแปลกแยกจากสังคมในที่สุด
เพราะเป็นธุรกิจขนาดเล็กจึงถูกลืม
นอกจากความเจ็บปวดของคนชราและคนพิการแล้ว คนหนุ่มสาวที่ประกอบธุรกิจรายย่อยอย่าง ร้านค้า ร้านอาหาร ก็กำลังจะล้มตายเช่นเดียวกัน จากสถานการณ์ ‘COVID-19’ ที่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจ จนทำให้หลายๆ ธุรกิจต่างก็ทยอยปิดตัวลงกันเป็นใบไม้ร่วง
เราเคยมีบทเรียนจากอดีตที่สอนให้รู้ว่า การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ จากบนลงล่างเสมือนการหยดน้ำจากยอดใบ แล้วหวังให้น้ำนั้นค่อยๆ ซึมลงไปสู่ราก หรือคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมเป็นสิ่งที่ใช้งานไม่ได้จริง และยิ่งเกิดความเหลื่อมล้ำมากยิ่งขึ้นในสังคม บทเรียนนี้เองทำให้เราเข้าใจว่า การจะทำให้รากฐานของเศรษฐกิจเข้มแข็งต้องเริ่มจากการสนับสนุนธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมที่เรียกว่า SME เป็นหลัก
ซึ่งบทบาทของธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม มีความสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้า เพราะเป็นแหล่งในการสร้างงานที่หลากหลาย สร้างอาชีพให้กับผู้คนกลุ่มต่างๆ กระตุ้นให้เกิดการแข่งขันทางการตลาดที่มากขึ้น รวมถึงเกิดการกระจายรายได้สู่ภูมิภาคอื่นๆ ทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี แต่หากภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กล้มลง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงการปิดตัวของเหล่าร้านค้า แต่หมายรวมถึงสัญญาณอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของทั้งประเทศนั่นคือเรื่องที่แสนเจ็บปวด
เป็นคนตัวเล็กในสังคมไฉนจึงไม่ถูกเหลียวแล
เมื่อโดมิโน่ที่ชื่อว่าธุรกิจขนาดเล็กล้มลง โดมิโน่ตัวถัดไปที่ต้องล้มตามอย่างไม่มีเงื่อนไขก็คือ กลุ่มชนชั้นแรงงาน คนยากจน คนตัวเล็กตัวน้อย ตัวละครหลักที่รับบทเป็นผู้ถูกกระทำเสมอมาจากปัญหาความเหลื่อมล้ำ แรงงานกลายเป็นกลุ่มคนที่เสียหายหนักที่สุดในสังคม ถูกกดขี่ข่มเหงจากนายจ้างอย่างไม่เป็นธรรมและต้องคอยแบกรับความเสี่ยงจากราคาผันผวนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
ทำให้เราต้องย้อนกลับมามองตัวเองว่า เราอยู่ตรงไหนในสังคมแห่งนี้ เรากำลังกลายเป็นกลุ่มคนที่กำลังถูกมองข้ามไปหรือไม่ พอจะมีพื้นที่ไหนบ้างที่เปิดโอกาสให้เหล่าคนที่ถูกสังคมมองข้ามได้มีความทัดเทียมในสังคมที่โหดร้ายแห่งนี้บ้าง
แต่ไม่ว่าคุณจะเจ็บช้ำหรือเจอเรื่องราวความเหลื่อมล้ำมาจากไหน ยังมีหนึ่งสถานที่ ที่ไม่เคยลืมใครไว้ข้างหลัง ยังคงคอยสร้างโอกาส เปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้เข้ามาใช้ประโยชน์ แบ่งปันรอยยิ้ม และเรื่องราวดีๆ ร่วมกันได้อย่างสร้างสรรค์ ที่แห่งนั้นก็คือ พีทีที สเตชั่น
เติมเต็มความสุข ณ พีทีที สเตชั่น พื้นที่แห่งโอกาส พื้นที่แห่งความเท่าเทียม
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น ได้เติบโตเคียงข้างคนไทยมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าใครจะเดินทางไปที่ไหน เหนื่อยล้า ปวดหนัก หรือปวดเบา ก็มี พีทีที สเตชั่น เป็นเพื่อนระหว่างทางอยู่เสมอ นับเป็นเพื่อนที่เจอกันบ่อยเลยก็ว่าได้ เพราะครอบคลุมไปทุกชุมชนทั่วประเทศ และจากบทบาทสถานีที่ครบครันของนักเดินทางได้ค่อยๆ พัฒนาจนกลายมาเป็น ศูนย์กลางที่จะร่วมเติมเต็มทุกความสุขและเติบโตไปพร้อมกับชุมชน (Living Community) และกลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาส พื้นที่สร้างความเท่าเทียมให้กับผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมไปในเวลาเดียวกัน
เติมเต็มความสุขให้ผู้คน – มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และสร้างความเท่าเทียมในสังคมผ่านการออกแบบด้วยแนวคิด Friendly Design ใส่ใจในทุกรายละเอียดและคำนึงถึงผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการก็สามารถใช้งานได้สะดวกสบาย ปลอดภัย และยังอุ่นใจด้วยการเป็นจุดช่วยเหลือเพื่อนเดินทางยามฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นการปฐมพยาบาลหรืออุปกรณ์ซ่อมรถเบื้องต้น และที่พีทีที สเตชั่นแห่งนี้ก็มีพื้นที่ให้แวะพักผ่อนระหว่างการเดินทางได้อีกด้วย
เติมเต็มความสุขให้กับชุมชน – เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของคนในชุมชนและเกษตร พีทีที สเตชั่น ได้เปิดโอกาสสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ให้นำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในโครงการไทยเด็ดเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน หรือเกษตรกรรายย่อย จัดสรรพื้นที่ปันสุขให้เกษตรกรเข้ามาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร โดยไม่จำเป็นต้องผ่านพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป รวมถึงเปิดตลาดวิถีชุมชน ผลักดันธุรกิจของชุมชน โดยให้ชาวบ้านในชุมชนรอบสถานีบริการน้ำมันสาขาต่างๆ เข้ามาจำหน่ายสินค้าของชุมชนได้ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและเศรษฐกิจร่วมไปกับชุมชน
เติมเต็มความสุขให้กับสิ่งแวดล้อม – นอกเหนือจากบทบาทเพื่อสังคม พีทีที สเตชั่น ยังคงมุ่งดูแลสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ ผ่านโครงการแยก แลก ยิ้ม สร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องการแยกขยะ พร้อมทั้งนำขยะที่แยกไปขาย เพื่อนำเงินมาสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนสืบไป และอีกหนึ่งบทบาทในการร่วมเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมของโลก คือการพัฒนา EV Station ให้ครบในการเส้นทางหลักทั่วประเทศไทยภายในปี 2564 เพื่อสนับสนุนการลดการสร้างมลพิษต่อโลก และเพื่อให้โลกนี้มีอากาศบริสุทธิ์อยู่ควบคู่ไปกับรอยยิ้มของชุมชนต่อไป
เรียกได้ว่า พีทีที สเตชั่น ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานีบริการน้ำมันอีกต่อไป แต่เป็นสถานีเติมเต็มความสุข สร้างโอกาสและความเท่าเทียมให้กับทุกคนในสังคม
โดยไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มีบทบาทหรือสถานะไหนในสังคม หรือถูกใครหลงลืม ขอเพียงย่างก้าวเข้ามาใน พีทีที สเตชั่น แห่งนี้ สิ่งที่คุณจะได้กลับไปคือการถูก ‘เติมเต็มทุกความสุข’ โดยไม่รู้ตัว