ถึงตอนนี้คงไม่มีใครที่หลีกเลี่ยงผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาดได้ หากไม่เจอผลกระทบโดยตรงทางด้านสุขภาพ ก็โดนผลกระทบทางอ้อมจากปัญหาความเหลื่อมล้ำในทุกๆ มิติที่ถูกถ่างให้กว้างออกยิ่งกว่าเดิม จนเกิดเป็นหุบเหวที่คนจำนวนมากหล่นหายไป
ความเหลื่อมล้ำมิติหนึ่งที่สำคัญและได้รับผลกระทบอย่างหนักคือ “การศึกษา” ซึ่งแต่เดิมก็เป็นปัญหาที่เรื้อรัง ทั้งเด็กที่อาศัยในพื้นที่ห่างไกลและขาดเอกสารอย่างบัตรประชาชนเพื่อยืนยันตัวตน เด็กที่ต้องเรียนโดยขาดปัจจัยพื้นฐานที่มีคุณภาพ เช่น ชุดนักเรียน อุปกรณ์เครื่องเขียน สมุด หนังสือ
และมีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ขาดแคลนทุนทรัพย์สำหรับค่าเล่าเรียนและค่าเดินทาง ซึ่งสุดท้ายแล้วเด็กๆ เหล่านี้ก็ต้องก้าวออกจากระบบการศึกษา เพื่อตะเกียกตะกายทำงานหารายได้เลี้ยงตัวเองเล็กๆ น้อยๆ แทน
ดังนั้นในสถานการณ์วิกฤตโรคระบาด ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้เศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงัก ผู้คนมีรายได้ถดถอยหรือตกงาน จึงส่งผลกระทบเป็นทอดๆ มาสู่โอกาสทางการศึกษาของเด็กๆ โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2565 เด็กๆ ในครอบครัวที่ยากจนและยากจนพิเศษราว 1.9 ล้านคน จากทั้งหมด 9 ล้านคนในระบบการศึกษาไทย มีความเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษาอย่างเลือกไม่ได้
และนั่นหมายถึงเด็กๆ เหล่านี้จะสูญเสียโอกาสที่อาจมีครั้งเดียวในชีวิต ซึ่งนี่คือเรื่องสำคัญ เราจึงอยากชวนคุณทบทวนร่วมกันว่าเด็กๆ จะต้องสูญเสียโอกาสใดบ้างจากความเหลื่อมล้ำนี้
โอกาสที่จะพัฒนาตัวเอง
ช่วงวัยเรียน คือช่วงเวลาสำคัญที่เป็นพื้นฐานของอนาคต หากเด็กๆ ต้องออกจากระบบการศึกษา ความรู้พื้นฐานที่อาจนำไปต่อยอดสู่การเรียนในระดับอุดมศึกษาก็จะขาดหายไป
หรือถ้าเป็นเด็กในระดับอนุบาล-ประถม โอกาสที่เด็กๆ จะขาดทักษะการพูด-ฟัง-อ่าน-เขียน ก็เป็นไปได้สูง ซึ่งก็แทบจะเป็นการปิดประตู กันเด็กๆ ออกจากการค้นหาความรู้ด้วยตนเองไปเลย
ยังไม่นับเรื่องทักษะการเข้าสังคม การทำงานร่วมกับผู้อื่น อีกทั้งกิจกรรมเสริมสร้างทักษะที่อาจต่อยอดเป็นอาชีพในอนาคตได้ ซึ่งมูลค่าความเสียหายจากการที่เด็กๆ ขาดโอกาสเหล่านี้คงประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้เลย
โอกาสที่จะทำตามความฝัน
ผลกระทบลูกโซ่ต่อมาก็คือความฝันของเด็กๆ ที่อยากเป็นแพทย์ วิศวกร นักบัญชี นักแปล หรืออาชีพต่างๆ ที่ต้องการทักษะและความรู้เฉพาะทาง
หากเด็กๆ ร่วงหล่นออกจากระบบการศึกษาไทยตั้งแต่ต้นทางแล้ว ก็ยากที่จะกลับมาบนเส้นทางความฝัน แล้วก้าวไปให้ถึงปลายทางที่ตัวเองหวังไว้ได้
คงน่าเสียดายและน่ากังวลใจ หากประเทศไทยจะสูญเสียประชากรคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะ และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กลับมาดีได้อีกครั้ง ทั้งๆ ที่ประเทศกำลังก้าวสู่ภาวะสังคมผู้สูงวัย พร้อมๆ กับอัตราเด็กเกิดใหม่ลดน้อยลงทุกวัน
โอกาสที่จะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ปลายทางที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา จะพาเด็กๆ ไปพบเจอก็คือ การสูญเสียโอกาสที่จะมีชีวิตอย่างที่ฝัน
เมื่อปัญหาที่ทำให้เด็กๆ หลุดออกจากระบบการศึกษาส่วนใหญ่นั้นคือความยากจน ก็ยิ่งกลายเป็นงูกินหาง เพราะเด็กๆ ที่ต้องออกมาหารายได้ประทังชีวิต ก็จะไม่มีความรู้หรือขาดวุฒิทางการศึกษา ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญต่อรายได้ และอาจกลายเป็นช่องโหว่ให้เด็กๆ ต้องรับจ้างใช้แรงงาน หรือหารายได้ในทางมิชอบแทน
โอกาสที่สูญเสียไปเหล่านี้จะไม่ได้ส่งผลเฉพาะเด็กๆ แต่ยังส่งผลต่อครอบครัว ชุมชน และประเทศของเรา ดังนั้นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่มีมาเนิ่นนานนั้น ไม่อาจละเลยได้อีกต่อไป
แล้วพวกเราจะมีส่วนร่วมแก้ปัญหาในภาวะเร่งด่วนได้อย่างไร?
เราขอแนะนำให้คุณได้รู้จักกับโครงการหนึ่งที่น่าสนใจและคุณสามารถมีส่วนร่วมได้อย่าง “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างแสนสิริ และ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยเป้าหมายหลักก็คือ การช่วยให้เด็กๆ เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพโดยไม่มีใครที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง พร้อมสร้างกลไกที่ทำให้เด็กๆ มีโอกาสการเข้าถึงการศึกษาอย่างยั่งยืน
เมื่อปัญหาด้านการศึกษา คือปัญหาใหญ่ที่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออนาคตของประเทศ แต่กลับยังถูกเมินเฉยและไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง แสนสิริจึงผุดไอเดียการออกหุ้นกู้แสนสิริ เพื่อระดมทุนเข้าโครงการ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” ด้วยเป้าหมาย 100 ล้านบาท และเริ่มต้นสร้างเมืองต้นแบบแห่งความเท่าเทียมที่ “ราชบุรีโมเดล” ซึ่งปัจจุบันมีเด็กที่เสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษาราว 10,000 คน เพื่อให้คนไทยทุกคนตระหนักถึงปัญหาและมีส่วนร่วมในการช่วยกันแก้ไข
กสศ. และแสนสิริจึงตั้งเป้าว่า ด้วยเงิน 100 ล้านบาทนี้น่าจะเหมาะสมและเพียงพอให้เด็กๆ ชั้นป.1 – ม.3 ในจังหวัดราชบุรีเรียนรู้อย่างมีความสุข โดยไม่มีใครต้องออกจากระบบการศึกษา และเด็กๆ ที่วัยถึงเกณฑ์เรียนป.1 จะต้องได้เข้าเรียน 100% ภายใน 3 ปี
หุ้นกู้แสนสิริครั้งนี้จะทำให้การลงทุนของคุณได้ผลลัพธ์ถึงสองต่อ
ต่อที่ 1 คือ ผลตอบแทนทางการลงทุนเป็นดอกเบี้ย 3.20% ต่อปี รับดอกเบี้ยทุก 3 เดือน
ต่อที่ 2 คือ การลงทุนเพื่อสร้างโอกาสที่สำคัญและยั่งยืนในชีวิตของเด็กผ่านโครงการ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” ซึ่งเงินในโครงการจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเงินสนับสนุนเพื่อแก้ปัญหาของเด็ก เช่น ค่าเดินทาง ชุดนักเรียน ค่าอาหาร ราว 80%
และอีก 20% จะถูกนำไปใช้สร้างระบบนิเวศเพื่อความยั่งยืนในด้านงานวิชาการและการบริการจัดการ เช่น การจัดทำแอปพลิเคชัน การพัฒนาหลักสูตรวิชาชีพ เพื่อให้เมื่อจบโครงการ ทางจังหวัดจะสามารถใช้กลไกนี้ช่วยให้ไม่มีเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษาอีกในปีต่อไป
สำหรับการสนับสนุนและระบบนิเวศที่ถูกออกแบบใหม่นี้ แสนสิริเองตั้งใจให้เป็นแนวทางต้นแบบให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ นำโมเดลราชบุรีนี้ไปทำกับจังหวัดอื่นๆ ได้ด้วย เพื่อว่าในที่สุดแล้ว เด็กๆ จะได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันทั้งประเทศ
แม้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา จะเป็นปัญหาโครงสร้างขนาดใหญ่ที่ต้องได้รับการแก้ไขในระดับนโยบาย แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังเป็นปัญหาที่รอเวลาเนิ่นนานไปกว่านี้ไม่ได้
เพราะโอกาสทางการศึกษา คือโอกาสพัฒนาประเทศ
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเห็นประเทศไทยขับเคลื่อนไปสู่อนาคต การมอบโอกาสและการช่วยกันโอบอุ้มไม่ให้เด็กคนใดต้องร่วงหล่นไปจากระบบการศึกษา ผ่านการลงทุนหุ้นกู้แสนสิริจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และอาจกลายเป็นก้าวแรกที่สำคัญของระบบการศึกษาไทย
หุ้นกู้แสนสิริ เริ่มต้นลงทุนเพียง 1,000 บาท รับผลตอบแทนการลงทุน 3.20% ต่อปี รับดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน โดยหุ้นกู้นี้มีอายุ 3 ปี ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ BBB+ โดยทริสเรทติ้ง และจะเปิดขายวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 8:30 น. ผ่าน SCB Easy App เท่านั้น
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหุ้นกู้แสนสิริ และโครงการ Zero Dropout ได้ที่ blog.sansiri.com/zero-dropout-main/