ในยุคสมัยที่ Co-Working Space คือพื้นที่ทำงานและการสร้างคอนเน็กชันของเหล่าสตาร์ทอัพ ด้านผู้ประกอบการ SME เองต่างก็ต้องมีพื้นที่ศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนและต่อยอดธุรกิจไม่ต่างกัน
ธนาคารไทยพาณิชย์ จึงได้มองเห็นโอกาสและความต้องการของผู้ประกอบการ SME ที่กำลังต่อสู้กับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย จึงได้จัดแคมเปญ ‘SME Fighto ปลุกสปิริตนักสู้ผู้ประกอบการ’ โดยมีอาวุธหลักคือ ‘มณี Free Solution’ ผู้ช่วยเรื่องธุรกิจแบบครบวงจร ด้วย 3 จุดเด่นที่ให้แบบฟรีๆ สำหรับ SME ที่ยอดขายไม่เกิน 75 ล้านบาท
3 ฟรีที่ว่า ประกอบไปด้วย 1.ฟรีค่าธรรมเนียมทุกประเภท เมื่อทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลแพลตฟอร์ม และมีบัญชีมณีมั่งคั่ง รวมถึงฟรีบริการรับฝากเช็คข้ามเขต 2.ฟรีอัพเกรดดอกเบี้ย บัญชีมณีมั่งคั่ง บัญชีเดินสะพัดดอกเบี้ยสูงสุด 1% รับดอกเบี้ยทุกสิ้นเดือน เมื่อฝากตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด 3.ฟรีบริการ Co-Working Space และสัมมนาต่อยอดธุรกิจ เพื่อช่วยผลักดันให้ธุรกิจของผู้ประกอบการก้าวไปได้ไกลยิ่งขึ้น
โดยฟรีบริการ Co-Working Space อยู่ภายใน SCB Business Center ความพิเศษคือที่นี่จะกลายเป็นจุดศูนย์รวมของคนอยากทำธุรกิจ พร้อมคำปรึกษาจากพันธมิตรชั้นนำ การให้ความรู้ผ่านงานสัมมนาต่างๆ และที่สำคัญคือบริการธุรกรรมการเงินอาทิเช่น ฝาก ถอน โอน เปิดบัญชี ปรึกษาผลิตภัณฑ์ธนาคาร ฯลฯ บริการตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งทดลองที่ SCB Business Center สยามสแควร์ เป็นแห่งแรกของประเทศ
SCB Business Center ศูนย์ธุรกิจรูปแบบใหม่ ภายใต้แนวคิด “จุดศูนย์รวมของคนอยากทำธุรกิจ” เป็นพื้นที่รวมความรู้ บริการทางการเงิน และโซลูชั่น รวมถึงบริการเสริมด้านต่างๆ ที่พร้อมช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันโฉมใหม่นี้มีทั้งหมด 3 แห่ง ได้แก่ สยามสแควร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ โดยลูกค้าสามารถเข้าใช้บริการได้ง่ายๆ เพียงเป็นลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์ และโชว์แอปพลิเคชัน SCB EASY หรือ SCB ดิจิทัลแพลตฟอร์มอื่นๆ ก็สามารถเข้าใช้บริการได้เลยทันที
อย่างที่ทราบกันดีว่า กลุ่มผู้ประกอบการ SME มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศในหลายมิติ โดยวัดจากตัวเลขกว่า 99.8% ของผู้ประกอบการในไทยเป็น SME กว่า 50% ของการจ้างงานของธุรกิจในไทยมาจาก SME และ 70% ของการผลิตของ SME เป็นการขายในประเทศ ดังนั้น SME จึงเป็นกลไกหลักที่เสริมสร้างรากฐานที่มั่นคงทางเศรษฐกิจของไทยอย่างมาก แต่ปัญหาหลักคือเจ้าของธุรกิจ SME ส่วนใหญ่ไม่อาจต้านทานกับความเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งเรื่องของภาวะเศรษฐกิจและกระแส Digital disruption
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารไทยพาณิชย์จะเข้ามาช่วยเหลือด้วยการติดอาวุธทางธุรกิจ ผ่านการสร้างสรรค์พื้นที่ภายใน SCB Business Center โดยมี Financial Advisory บริการที่ปรึกษาทางด้านการเงิน สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดธุรกิจ หรือผู้ประกอบการธุรกิจ และที่สำคัญคือการได้พันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็น ไปรษณีย์ไทย, Wongnai, GET, และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นๆ ที่จะหมุนเวียนมาให้คำปรึกษาในการทำธุรกิจอยู่ตลอด
นอกจากบริการให้คำปรึกษาแล้ว พื้นที่ภายใน SCB Business Center ยังเป็น Co-Working Space ที่สามารถใช้ในการนั่งทำงาน นัดประชุม หรือแลกเปลี่ยนสร้างคอนเน็กชัน โดยเฉพาะที่สยามสแควร์เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เป็นการร่วมมือกับ Class Café หนึ่งในแบรนด์คาเฟ่ร้านกาแฟที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้ชื่อ CLASS.SCB ด้วยโมเดลธุรกิจที่นำ data มาใช้ เปิดให้บริการในบรรยากาศน่านั่งอีกด้วย
และหนึ่งใน pain point ของกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ คือไม่มีเวลาไปทำธุรกรรมในเวลาทำการของธนาคารปกติ ภายใน SCB Business Center สยามสแควร์จึงได้ทดลองพัฒนาสาขาต้นแบบที่เปิดให้บริการธุรกรรมการเงินตลอด 24 ชั่วโมงขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศ ฝาก ถอน โอน เปิดบัญชี ปรึกษาผลิตภัณฑ์ธนาคาร ฯลฯ หรือทำธุรกรรมใดๆ กับธนาคารก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาเปิดปิดอีกต่อไป
ปัจจัยที่จะช่วยให้เหล่าผู้ประกอบการ SME สามารถพัฒนาและต่อยอดธุรกิจของตัวเองได้ ไม่ใช่เรื่องของเงินทุนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงไอเดียในการทำธุรกิจอีกด้วย SCB Business Center จึงได้จัดให้มีสัมมนาต่อยอดธุรกิจที่หลากหลาย ทันสมัย และสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ กับ Coffee Talk Series การสัมมนาแบบเป็นกันเอง โดยผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ
สำหรับ Coffee Talk Series Episode#1 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา เป็นการสัมมนาครั้งแรกในหัวข้อ ‘SME ไทยต้องสู้กับอะไรในปี 2020?’ ว่าด้วยเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงโลกการทำธุรกิจ ซึ่ง SME ต้องปรับตัวตาม โดยผู้เชี่ยวชาญจาก 3 วงการที่มาช่วยเปิดความรู้ เปิดมุมมอง และแนะนำให้รู้จักเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
ใน Session แรกคือประเด็นเรื่อง ‘ทิศทางเศรษฐกิจไทยต้องรุกหรือตั้งรับ’ โดย ดร.ยรรยง ไทยเจริญ จาก SCB EIC ที่มาแชร์ถึงปัจจัยทั้งบวกและลบต่างๆ โดยประเด็นแรกที่ ดร.ยรรยง แชร์ คือภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังผันผวน เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกา เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกมาก รวมถึงธุรกิจการท่องเที่ยวที่เป็นหัวใจหลักของรายได้ ทำให้ผู้ประกอบการทั้งหลายได้รับผลกระทบ นอกจากนั้นเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น รวมถึงปัจจัยความท้าทายเชิงโครงสร้างอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Digital disruption การเข้ามาของ AI ที่ส่งผลให้ผู้เล่นรายย่อยไม่สามารถปรับตัวได้ทัน
ขณะเดียวกันแม้จะมีปัจจัยลบมากมาย แต่ดร.ยรรยงก็ยังอธิบายถึงปัจจัยเชิงบวก อย่างเช่นการมีหนี้ต่างประเทศน้อย อัตราเงินเฟ้อต่ำ ธนาคารพร้อมจะสนับสนุนลูกค้าอย่างเข้มแข็งเพียงพอ ภาครัฐยังมีนโยบายทางการคลังที่ช่วยสนับสนุนอยู่ และเทรนด์การลงทุนใน EEC หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกยังเติบโตได้ดี ทำให้ประเทศไทยไม่มีทางที่จะกลับไปเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างเช่นปี 2540 แน่นอน โดยดร.ยรรยงได้ทิ้งท้ายถึง 3 หัวใจหลักที่ผู้ประกอบการ SME ไทยต้องใส่ใจ คือเรื่องการมองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง การปรับตัวตามเทคโนโลยีอยู่เสมอ และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจให้เข้มแข็ง
ใน Session ต่อมาคือประเด็นเรื่อง ‘เทคโนโลยีจากต่างชาติ ภัยหรือโอกาสของ SME ไทย’ โดย คุณอิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Blognone ที่มาพูดเรื่องเทรนด์การใช้แอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟนของคนทุกวันนี้ ที่มีบริการครอบคลุมการใช้ชีวิตประจำวันของเราทั้งหมด ตั้งแต่การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง Line และ Facebook อีคอมเมิร์ซ อย่าง Shopee และ Lazada รวมไปถึงไลฟ์สไตล์อย่างการสั่งอาหาร การขนส่งต่างๆ อย่าง Grab และ GET ซึ่งกำลังสร้างให้เกิดเทรนด์ธุรกิจใหม่ที่เรียกว่า O2O หรือ Online to Offline ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นแอปพลิเคชันจากต่างชาติทั้งสิ้น ขณะเดียวกันแอปฯ Payment สำหรับทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ของไทยก็กำลังเติบโตได้ดี คุณอิสริยะจึงเน้นย้ำให้ SME ไทยปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีเหล่านี้ และมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ
และใน Session สุดท้ายคือประเด็นเรื่อง ‘โลกเปลี่ยนลูกค้าเปลี่ยน สู้ศึกด้วย Consumer Insight’ โดยคุณพุทธศักดิ์ ตันติสุทธิเวท Data Research Manager จาก WISESIGHT ที่มาอธิบายถึงการใช้ data ในการทำความเข้าใจลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คุณพุทธศักดิ์ยกตัวอย่างว่าในความเป็นเจ้าของธุรกิจ SME ทุกคนมี data เป็นของตัวเองอยู่แล้ว จึงสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ และที่สำคัญคือการใช้โซเชียลมีเดียให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อตามทันเทรนด์และความต้องการของลูกค้า ซึ่ง data ทั้งหมดในโลกดิจิทัลจะทำหน้าที่เหมือนเป็นเข็มทิศที่นำพาธุรกิจไปสู่จุดหมาย และสุดท้ายคุณพุทธศักดิ์ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า data ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นคนต่างหากที่ใช้ data เพื่อสร้างเวทมนตร์ให้กับธุรกิจได้