“ครั้งหนึ่งผมเคยขี่มอเตอร์ไซค์ แล้วมีฝรั่งขับรถยนต์ตามผมมา เขาถามทางไปชะอำ แต่ผมตอบอะไรไม่ได้เลย ด้วยความกลัวจึงตอบไปว่า เออ อือ เออ โก ชะอำ beach โก แล้วก็ขับหนีไป ไม่รู้ป่านนี้เขาถึงชะอำหรือยัง (หัวเราะ)”
เรื่องเล่าจาก คุณเอซ—อรรฆวัฒน์ นาคะเวช ชายหนุ่มซึ่งเคยมีอดีตตลกๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษนับครั้งไม่ถ้วน แต่น่าแปลกใจ ที่ปัจจุบันเขาได้กลายมาเป็นเจ้าของสถาบันสอนภาษา SpeakOut ที่เข้าใจการเรียนภาษาอังกฤษของคนไทยได้เป็นอย่างดี
จากคนที่พูดได้แค่งูๆ ปลาๆ ใช้ภาษาอังกฤษถูกบ้างผิดบ้าง แต่ด้วยทัศนคติและความเชื่อที่ว่า แม้จะไม่เคยไปต่างประเทศ แต่เราก็สามารถใช้ภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วไม่แพ้เจ้าของภาษา ขอเพียงแค่ ‘กล้าที่จะพูด’ จึงทำให้ทุกวันนี้ คุณเอซก้าวข้ามความกลัวในจิตใจ และประสบความสำเร็จในชีวิตโดยมีภาษาอังกฤษเป็นส่วนประกอบ
The MATTER จึงชวนคุณเอซมานั่งพูดคุยและแลกเปลี่ยนทัศนคติที่จะทำให้คนไทยรู้สึกว่า ภาษาอังกฤษไม่ได้ยากอย่างที่คิด
ความผิดพลาด = จุดเริ่มต้นของการเรียนรู้
“คำว่า login เป็นคำที่ฝังใจผมมาก สมัยนั้นบ้านผมไม่มีคอมพิวเตอร์ ก็เลยใช้งานไม่ค่อยเป็น ทุกครั้งที่เปิดคอมขึ้นมาก็จะมีคำว่า โลจิ้น (login) อะไรนี่แหละ แล้วก็คำว่า เซตุ้ป (setup) ผมเลยเดินไปถามรุ่นพี่ว่า อะไรคือโลจิ้น อะไรคือเซตุ้ป เขาก็หัวเราะกันทั้งแผนก นึกว่าผมเล่นมุก แต่ผมไม่ได้เล่นมุก ผมไม่รู้จริงๆ”
อีกประสบการณ์ฮาๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษของคุณเอซ ที่เมื่อฟังแล้ว รู้สึกไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นคนเดียวกับเจ้าของสถาบันสอนภาษาอังกฤษ ที่กล้าพูดคุยกับชาวต่างชาติได้แบบไม่กลัวอะไร แต่เพราะความผิดพลาดในอดีตของเขานี่เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ และกลายมาเป็นคุณเอซในวันนี้ได้
เปลี่ยนความอายให้กลายเป็นแรงขับเคลื่อน
นับว่าเป็นปัญหาที่ทำให้ใครหลายคนไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ เพราะเมื่อเราพูดผิดขึ้นมา ก็มักจะถูกคนรอบข้างล้อเลียนจนไม่อยากที่จะพูดอีก แต่สำหรับคุณเอซที่มีประสบการณ์น่าอายเกี่ยวกับภาษาอังกฤษมากมาย เขาได้เปลี่ยนความอายเหล่านั้นให้กลายมาเป็นความ ‘กล้า’ ซึ่งในที่นี้ก็คือความกล้าที่จะเรียนรู้ และกล้าที่จะลองผิดลองถูก จนนำมาซึ่งความกล้าที่จะพูด
“พูดผิดก็ไม่เห็นเป็นไร ขอแค่เปิดใจและกล้าที่จะพูด คนไทยมีนิสัยที่ถ้าพลาดหรือพูดผิด ก็จะโดนหัวเราะเยาะ ทำให้คนพูดรู้สึกนอยด์ โกรธ เพราะเสียฟอร์ม ซึ่งถ้าเรามีทัศนคติแบบนี้ เวลาฝึกภาษาอังกฤษมันอาจจะช้ากว่าคนอื่น แต่ถ้าเราสนุกกับมัน ตลกกับมัน เราจะเรียนรู้ได้ไวกว่าคนอื่นมาก เหมือนเป็นการทำลายกำแพงความกลัวของตัวเอง ถ้าเราข้ามกำแพงนี้ได้ ไม่มีอะไรหยุดเราแน่นอน บางครั้งเราอาจจะพูดผิดบ้าง ก็ขอให้คิดว่าไม่เป็นไร ไม่ได้เสียหายอะไร พูดผิดไม่โดนปรับเงิน พูดผิดไม่มีคดีอาญา ยิ่งมีคนแซวยิ่งดี เราจะได้จำว่า อ๋อ มันพูดอย่างนี้นี่เอง แล้วเราจะได้เรียนรู้จากตรงนั้น”
ที่สำคัญคือ ‘ทัศนคติ’
คุณเอซได้เปรียบให้ฟังว่า การเรียนภาษาอังกฤษก็เหมือนกับการออกกำลังกาย ที่เราจะต้องมีเป้าหมายและรู้จักฝึกฝนอยู่เรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งสำคัญที่ต้องมาควบคู่นั่นก็คือการเปิดใจและทัศนคติที่พร้อมจะเรียนรู้ เพราะนั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราพัฒนาไปไวมากยิ่งขึ้น
“ช่วงวัยเด็กที่เราไม่ค่อยชอบภาษาอังกฤษ เพราะเราไม่รู้ว่าวิธีไหนที่เรียนแล้วได้ผลจริงๆ แล้วเราก็ถูกหล่อหลอมมาเหมือนเด็กทั่วไป โลกเราค่อนข้างแคบ และรู้สึกว่าเป็นไปได้ยากที่จะฝึกภาษาอังกฤษให้คล่อง แต่พอมาเห็นพี่ชายที่เป็นไกด์ เขาพูดได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมัน วินาทีนั้นผมคิดว่ามันเหมือนเรื่องมหัศจรรย์เลย
ทัศนคติผมมาเปลี่ยนช่วงทำงานใหม่ๆ ตอนนั้นเจ้านายถามว่าวันนี้เงินเข้าเท่าไหร่ How much cash in? แล้วผมฟังเขาไม่ออก เพราะเขาเป็นคนออสเตรเลียที่สำเนียงฟังยากมาก เขาถามอะไรผมก็ไม่รู้เรื่อง เขาเลยก็ไม่ชอบขี้หน้าผมไปเลย จากนั้นผมก็รีสตาร์ทตัวเอง ถ้าเราพูดไม่ได้ เราคงไม่มีโอกาสได้ทำงานที่นี่ เราต้องดิ้นรนให้มากขึ้น หลังจากนั้นพอผมเริ่มพูดได้ เขากับผมก็สื่อสารกันรู้เรื่อง กลายเป็นคนโปรดของเขาไปเลย”
“เปิดใจกับภาษาอังกฤษ ลองผิดลองถูกกับมันบ้าง รักมันไว้ แล้วมันจะมาช่วยในวันที่เราต้องการ”
ฝึกฝนจนชำนาญผ่านสิ่งที่ชื่นชอบ
ในชีวิตประจำวัน มีอีกหลากหลายวิธีที่ช่วยให้เราได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษไปในตัว อย่างการดูหนัง ฟังเพลง หรืออ่านข่าวต่างประเทศ ซึ่งอย่างคุณเอซเองที่ชื่นชอบการดูหนังแนว comedy อยู่แล้ว ก็ได้เรียนรู้ภาษาจากตรงนั้นด้วยเช่นกัน
“ผมแนะนำว่าให้ไปเสิร์ชในสิ่งที่ตัวเองชอบ อย่าไปฟังว่าคนอื่นแนะนำว่าต้องดูเรื่องอะไร แต่เลือกที่ตรงจริตกับเรา อย่างผมเป็นคนตลก เฮฮา ผมก็จะชอบดูหนังตลก เพราะผมจะดูได้ทั้งวัน หรือบาสเกตบอล NBA ของอเมริกา แรกๆ ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่ด้วยความที่เราชอบ เราก็เริ่มจากการเดากริยาท่าทางที่เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้น แล้วเราก็เริ่มเดาได้แล้วว่าเขาหมายถึงอะไร พอเราเข้าใจตรงนี้แล้ว คราวหน้าเราก็ไม่ต้องท่อง กลายเป็นว่าเราคิดเป็นภาษาอังกฤษได้เลย”
ในยุคที่เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่คอร์สเรียนภาษาก็ยังจำเป็น
แม้ทุกวันนี้ การเรียนภาษาอังกฤษจะสามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน อย่างเช่นการค้นอินเทอร์เน็ต แต่อย่างไรก็ตาม การเรียนภาษากับสถาบันก็ได้ให้ประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะการกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้สึกมุ่งมั่นและมีเป้าหมายมากขึ้น
“การฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Google Youtube TikTok Facebook เป็นเรื่องที่ดี แต่การเรียนกับสถาบันสอนภาษาทำให้เรามีความมุ่งมั่นมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น รอบๆ ตัวเรา เราสามารถออกกำลังกายที่ไหนก็ได้ จะลุกขึ้นเดินตรงนี้ก็ได้ วิดพื้นอยู่บ้านก็ได้ แต่จะมีกี่คนที่มีแรงบันดาลใจ หรือออกกำลังกายอย่างมีวินัยเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย ซึ่งถ้าเราฝึกที่บ้านด้วย และไปยิมด้วย ได้เจอเทรนเนอร์ดีๆ เก่งๆ และมีความเป็นมืออาชีพ มันก็จะช่วยให้เรามีเป้าหมาย มุ่งมั่น และจริงจังมากขึ้น”
SpeakOut หลักสูตรที่เข้าใจคนไทยด้วยกันเอง
โดยปกติแล้ว เราจะเห็นว่าสถาบันสอนภาษาทั่วไปมักจะใช้หลักสูตรจากต่างประเทศ ซึ่งอิงจากประสบการณ์และวัฒนธรรมของคนต่างชาติเป็นหลัก แต่เนื่องจากสถาบันสอนภาษา SpeakOut ถูกก่อตั้งโดยคุณเอซซึ่งเป็นคนไทย จึงทำให้หลักสูตรที่ใช้สอน ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาให้กับคนไทยโดยเฉพาะ
“สถาบันสอนภาษาอื่นๆ ออกแบบหลักสูตรโดย Native Speaker ก็จะเข้าใจดีว่าฝรั่งเป็นคนที่กระตือรือร้นและมั่นใจ แต่ถ้าเราเอาหลักสูตรนั้นมาใช้ในเมืองไทย ก็อาจจะไม่เข้าใจพฤติกรรมของคนไทยว่าไม่กล้าแสดงออกขนาดนั้น ในฐานะที่สร้างสถาบันนี้ขึ้นมา และก็เป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่พอจุดหนึ่งที่ผมพูดได้โดยไม่ต้องไปเรียนเมืองนอก ผมจึงเข้าใจว่าโจทย์ไหนที่เราต้องช่วยกันแก้ให้กับคนไทยมากที่สุด”
โดยสถาบันสอนภาษา SpeakOut ของคุณเอซ ได้แบ่งออกเป็น ‘คลาสหลัก’ กับ ‘คลาสกิจกรรม’ ซึ่งคลาสหลัก เป็นการเรียนกับครูต่างชาติแบบตัวต่อตัว เพื่อฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนโดยเฉพาะ และในส่วนของคลาสกิจกรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Extra Class จะแตกต่างจากคลาสทั่วไปตรงที่ผู้เรียนจะได้นำภาษาอังกฤษไปใช้ในสถานการณ์จริง หรือเรียกได้ว่าเป็นการเรียนแบบ English for Life ที่ไม่ใช่เพียงแค่ท่องจำ
“Extra Class จะไม่เหมือนกับการเรียนทั่วไป จะมีสถานการณ์ เช่น ไขคดีปริศนา ผู้เรียนก็จะต้องใช้ภาษาอังกฤษมาสอบสวนกันเอง และก็กิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น แต่งหน้า ทำอาหาร ท่องเที่ยว หรือจริงจังกว่านั้นก็มีการฝึกพรีเซนต์งาน ฝึกโต้วาที หรือสร้างความมั่นใจ พูดง่ายๆ มันก็คือการรวมตัวระหว่างการได้ภาษา ได้ความมั่นใจ และก็ได้ทักษะในกิจกรรมนั้นไปด้วย”
และที่สำคัญคือความสะดวกและความทันสมัย เพราะคลาสเรียนของ SpeakOut เป็นการเรียนในรูปแบบ ‘ออนไลน์’ ทั้งหมด ซึ่งคุณเอซได้เล็งเห็นว่า การเรียนออนไลน์จะช่วยลดอุปสรรคของการเรียนทั้งในเรื่องของพื้นที่ เวลา และค่าเดินทาง ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนภาษาอังกฤษจากที่ไหนก็ได้
“เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้เราต้องรักษาระยะห่าง ผมเลยคิดว่าสื่อออนไลน์น่าจะเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ และเรายังสามารถพัฒนาได้ตามเป้าหมาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องเดินทางมานั่งเรียนกับครู”
หากใครที่ยังกล้าๆ กลัวๆ ไม่ชัวร์ว่าตัวเองกับภาษาอังกฤษจะไปด้วยกันรอดหรือไม่ อยากให้ลองเปิดใจเรียนกับสถาบันภาษาที่เข้าใจคนไทยดู เพราะนั่นอาจเป็นหนทางที่ทำให้คุณมั่นใจที่จะใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น และขณะนี้ SpeakOut ก็ได้เปิดให้ทดลองเรียนฟรี 1 ชั่วโมง 2 คลาส ลงทะเบียนได้ที่ : https://bit.ly/3kmse5M
“ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่น่ารัก เราทุกคนเติบโตมากับมัน จากการดูหนัง ฟังเพลง ถ้าเราได้ภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะไปทำงานที่ไหน หรือเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน มันจะมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้น ฉะนั้น ไม่ต้องอาย เก็บเอามันเข้ามาอยู่กับเรา เอามาใช้ เอามาทำให้เกิดประโยชน์ ลองผิดลองถูกกับมันบ้าง และรักมันไว้ แล้วมันจะช่วยเราในวันที่เราต้องการเอง”
อย่าให้คำว่า ‘ไม่กล้า’ มาปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาภาษาของตนเอง เพราะขนาดคุณเอซที่พูดคำว่า ล็อกอิน เป็น โลจิ้น ยังกลายมาเป็นเจ้าของสถาบันภาษาที่สื่อสารกับชาวต่างชาติแบบคล่องปรื๋อได้ คุณเองก็ทำได้เช่นกัน ขอเพียงแค่เปิดใจและกล้าที่จะ SpeakOut!