วัยแรกเกิดถึงวัยอนุบาล คือหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา เด็กวัยแบเบาะต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดทุกด้าน
คงไม่ต้องอธิบายกันเยอะถึงความสำคัญของความอบอุ่นใกล้ชิดในวัยเด็กที่จะส่งผลถึงพัฒนาการทางสมอง อารมณ์ ความรู้สึกที่มีผลไปจนเด็กคนหนึ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในช่วงเวลาที่เด็กยังไม่สามารถคิด ตัดสินใจเลือกสิ่งใดๆ ให้แก่ตัวเองได้ พ่อแม่จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูก ตั้งแต่ปรัชญาในการเลี้ยงดูว่าอยากจะให้ลูกเติบโตมาแบบไหน ไปจนถึงอาหารที่ป้อนให้เขาในแต่ละมื้อ
เพราะทุกการกระทำของพ่อแม่ หรือคนใกล้ชิด ล้วนแต่ส่งผลในทางใดทางหนึ่งต่อเด็กอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หนทางที่ดีที่สุดคือการทำความเข้าใจเด็กให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ว่าอะไรสำคัญต่อพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา น่าจะเป็นตัวช่วยที่จะทำให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น ก่อนจะหยิบยื่นสิ่งใดๆ ให้เขาในคราวต่อไป
เข้าใจร่างกาย เข้าใจสมอง
ใครหลายคนอาจจะเติบโตมากับเพลงของโมสาร์ท ด้วยความที่พ่อแม่เชื่อว่าดนตรีจะช่วยพัฒนาสมอง แต่ทางการแพทย์ได้ย้ำว่ายังไม่มีงานวิจัยที่บอกได้ชัดเจนถึงผลในการกระตุ้นสมองของเด็กทารกด้วยเสียงเพลงคลาสสิก เพราะการเลี้ยงดูเด็กสักคนให้เติบโตขึ้นมาแข็งแรงทั้งกาย ใจ และสติปัญญานั้นขึ้นอยู่กับหลายส่วนประกอบกัน ทั้งอาหารการกิน วิธีการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม ฯลฯ ลองคิดภาพว่าในเพียงชั่วเวลาไม่ถึง 3 ปี จากทารกตัวเล็กๆ ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นั้นเติบโตเป็นเด็กที่เดินได้ พูดคุยเป็นประโยคสั้นๆ ได้ แสดงให้เห็นว่าสมองมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวแบบก้าวกระโดด
อาหารที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทารกและไม่มีอะไรเทียบเทียมได้ก็คือ น้ำนมแม่ อันเต็มไปด้วยสารอาหาร มากกว่า 200 ชนิด วิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ที่ดีต่อสุขภาพ สร้างภูมิต้านทานโรคต่างๆ เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง เติบโตตามวัย ในช่วง 6 เดือนแรกเด็กทารกต้องการเพียงน้ำนมแม่เท่านั้น ตั้งแต่เดือนที่ 6 ไปจนลูกอายุ 2 ขวบหรือนานกว่านั้นก็ยังสามารถให้น้ำนมแม่ควบคู่ไปกับอาหารอื่นๆ ด้วยได้ มีงานวิจัยที่พบว่าเด็กและวัยรุ่น ที่ได้กินน้ำนมแม่มีการเรียนรู้ที่ดีกว่า (cognitive function)
สฟิงโกไมอีลิน (sphingomyelin) เป็นสารหนึ่งที่ค้นพบในนมแม่ นม ผลิตภัณฑ์นม มีส่วนสำคัญในการช่วยในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมอง ไมอีลิน เป็นเยื่อหุ้มเส้นใยประสาทที่นำข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังเซลล์ประสาทอื่น ช่วยให้เซลล์สมองส่งผ่านข้อมูล ที่รับมาจากประสาทสัมผัสทั้งต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมองเห็น ได้ยิน สัมผัส กลิ่น หรือรสชาติ ไมอีลินช่วยเชื่อมโยงสัญญาณประสาทของสมองแต่ละส่วนเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วในระดับมิลลิวินาที เมื่อสมองทำงานได้ดีก็จะส่งผลต่อเนื่อง เชื่อมโยงไปยังพัฒนาการด้านอื่นๆ ด้วย
เล่นคืองาน อาหารคือการปลูกฝัง
ทุกพัฒนาการของเด็กนั้นเชื่อมโยงกันหมด การเล่น การกิน การนอน ล้วนแต่เชื่อมโยงกัน การเล่นของเด็กๆ นั้นไม่ต่างจากการทำงาน เพราะเด็กจะได้ใช้ทั้งการเคลื่อนไหวของร่างกาย ไปพร้อมกับการพัฒนาการคิด การรับรู้ การตอบสนองประสาทสัมผัสต่างๆ ได้ฝึกการสังเกต ทดลอง แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้า เรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่น เป็นพื้นฐานที่ในการคิดจินตนาการ หรือเลียนแบบบทบาทของผู้ใหญ่ หากต้องการให้ลูกมีพัฒนาการทางสติปัญญาที่ดี สิ่งที่ควรทำไม่ใช่การท่องจำคำศัพท์ให้ได้เร็วที่สุด หรือมากที่สุด แต่เป็นการได้เล่น ได้เรียนรู้ไปพร้อมกับการได้รับสารอาหารต่างๆ ในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละวัน แน่นอนว่าเมื่อเด็กโตขึ้นก็จะมีความต้องการอาหารที่หลากหลายขึ้น ต้องฝึกการบดเคี้ยวอาหารนิ่มๆ บดหยาบ ผัก ผลไม้ หยิบจับอาหารใส่ปากเอง อย่างที่เรียกว่า Finger Food ไปจนถึงฝึกการใช้ช้อนส้อมตักอาหาร แต่ต้องไม่ลืมว่านมแม่ และผลิตภัณฑ์นมก็ยังคงมีส่วนสำคัญในช่วงวัยแรกเริ่มของชีวิต มีรายงานการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าทารกที่ได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียวเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือนจะมีปริมาณไมอีลินในสมองเพิ่มขึ้นและมีความสัมพันธ์กับผลการประเมินการเรียนรู้ที่ดีขึ้นอีกด้วย เพราะสฟิงโกไมอีลิน อันเป็นสารอาหารในกลุ่มไขมันที่ช่วยสร้างไมอีลินในสมอง ส่งผลให้สมองทำงานได้อย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาแรกเริ่มที่สำคัญที่สุดช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ทุกการเลือกของพ่อแม่ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือการกระทำใดๆ จึงสำคัญอย่างยิ่งต่อช่วงเวลาที่เหลือทั้งหมดของเขา
ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม
https://www.honestdocs.co/newborn-babies-listen-mozart-song-effect