นี่บอกเลยว่าไม่ได้เล่นมุก เพราะหากใครได้ลองไปเยือนดินแดนไต้หวัน หรือไทเปดูสักครั้ง รับรองว่าองค์แม่ขุ่นพี่สู่ขวัญเป็นได้ลงประทับด้วยกันทุกคน เพราะไม่ว่าจะเดินไปตรอกซอกซอยไหนเป็นอันต้อง อุ๊ย อันนี้ก็น่าซื้อ อุ๊ย อันโน้นก็น่ากิน เรียกว่ามีร้อยเปย์ล้าน สมชื่อกับเมืองไทยเปย์ (ไทเป) กันแน่นอน
ยิ่งล่าสุดเมื่อดินแดนจุดหมายปลายทางที่ว่านี้เพิ่งจะใจดีขยายเวลาฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยได้ไปหลั่นล้าแบบไม่ต้องขอวีซ่าให้เสียเวลาเพิ่มอีกหนึ่งปี ก็ยิ่งชวนให้อยากยื่นใบลากับบอสเอาเสียวันพรุ่งนี้ แต่ช้าก่อน สำหรับคนที่ยังแอบยื่นมือไปกุมกระเป๋าตังค์คิดลังเลว่างานนี้จะเปย์ไม่เปย์ดี ลองไปอ่านเรื่องราวของที่แห่งนี้ดูกันก่อน รับรองว่าช่วยในการตัดสินใจได้เยอะเลย
ต้นกำเนิดแห่งความหลากหลาย-กลิ่นอายที่คุ้นเคย
ก่อนที่เราจะไปรู้จักไต้หวันในแง่ของสถานที่ท่องเที่ยว หรือความน่าสนใจต่างๆ นั้น เราขอให้ทุกคนล้อมวงเข้ามา เปิดเพลงหลิวซิงยี่ของหนุ่มๆ F4 (แหม่ บอกอายุเชียว) ช่วยบิลท์อารมณ์คลอไปกับการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์โดยย่อของดินแดนแห่งนี้กันก่อน อย่างที่จะเห็นมาในช่วงต้นบทความว่าเราเลือกที่จะใช้คำว่า ‘ดินแดน’ แทนที่คำว่า ‘ประเทศ’ ในการเรียกไต้หวันมาโดยตลอด ซึ่งอาจทำให้หลายคนเริ่มสับสนว่าตกลงจริงๆ แล้วไต้หวันนี่เป็นประเทศหรือไม่ จะว่าใช่แต่ใน UN ก็ยังไม่ให้การรับรองอย่างเป็นทางการนี่นา แต่จะว่าไม่ใช่ขุ่นพี่ก็เล่นมีธง มีทีมเป็นของตัวเองทั้งในโอลิมปิก ตลอดจนการแข่งกีฬาประเภทต่างๆ เอาแบบนี้สรุปให้ฟังโดยย่อก็คือในสายตาของคนไต้หวันแล้ว พวกเขามองตัวเองเป็นประเทศที่เป็นเอกเทศจากจีนแผ่นดินใหญ่ ทว่าสำหรับในเวทีโลกซึ่งมีพี่จีนเป็นมหาอำนาจคอยค้ำคอนั้น ประเทศจีนยังคงพร่ำบอก (แกมบังคับ) กับชาวโลกว่าไต้หวันเป็นหนึ่งในมณฑลของจีนนั่นเอง เพราะฉะนั้นแม้ไต้หวันจะเป็นดินแดนที่มีรัฐบาลเป็นของตัวเอง มีธง มีทีมกีฬา มีวัฒนธรรมที่แตกต่างเป็นของตัวเอง แต่ด้วยอำนาจของลูกพี่จีนสถานะความเป็นประเทศของไต้หวันจึงยังคงครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้
ว่ากันถึงวัฒนธรรม และบรรยากาศของไต้หวันกันบ้าง ไม่น่าแปลกใจที่หลายคนมักให้คำนิยามดินแดนแห่งนี้ลับๆ ว่า ‘ค่าครองชีพเหมือนจีน แต่กลิ่นอายเหมือนญี่ปุ่น’ เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อนในยุคที่ผู้คนอพยพมายังเกาะแห่งนี้มากมาย ไต้หวันเคยถูกรวบเป็นส่วนหนึ่งของจีนช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะผลัดมือไปเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่น แล้วค่อยกลับมามีรัฐบาลเป็นของตัวเองอีกครั้ง ความเป็นไต้หวันจึงถูกผสมผสานไปด้วยกลิ่นอายของทั้งจีน และญี่ปุ่น ตั้งแต่อาคารบ้านเรือน งานศิลปะ ไปจนกระทั่งรสนิยมทางด้านอาหาร ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านบรรดาเครื่องปรุงหลักอย่างซอสถั่วเหลือง พริกไทย ผักดอง ตลอดจนน้ำมันงา แน่นอนว่าความคล้ายคลึงกับวิถีชีวิต ตลอดจนความชอบที่เหมือนคนไทยเช่นนี้ย่อมทำให้เรารู้สึกถูกปากอาหารของไต้หวันได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค่าเงินใกล้เคียงกันเช่นนี้แล้ว บอกเลยว่ากลับบ้านมาได้กลายเป็นหมูที่แข็งแรงแน่นวล
สายช้อป สายกิน สายเที่ยว ที่เดียวครบ
หากใครเป็นสายเที่ยวที่ชอบทำทุกอย่างในคราวเดียวกันคงจะรู้ว่ามีอยู่ไม่กี่ประเทศในโลกนี้หรอกที่ทำให้เรารู้สึกเอ็นจอยได้ครบทุกมิติทั้งเที่ยว กิน ช้อป ซึ่งไต้หวันคือหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับคนที่ชอบธรรมชาติ ที่นี่ก็มีทั้งน้ำพุร้อน ป่าเขา ทุ่งดอกไม้ ทะเล ไปจนสวนสาธารณะสวยๆ คนที่ชอบสายแสวงธรรมไต้หวันก็มีวัดชื่อดังมากมายให้ไปขอพร ทั้งวัดซิงเทียน วัดกวนตู้ (ส่วนใครคิดจะมาเพื่อขอผู้ก็เชิญวัดหลงซานเลยข่า) ส่วนสายเสพงานศิลป์นี่ไม่ต้องพูดถึง ไต้หวันมีพิพิธภัณฑ์ดีๆ อยู่ชนิดนับนิ้วมือไม่ถ้วน ตั้งแต่ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติกู้กง อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ก พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ไทเป พิพิธภัณฑ์ของจิ๋ว ไปจนถึงครีเอทีฟปาร์คฮิปๆ และสำหรับคนชอบถ่ายรูปก็ต้องไม่ลืมบรรดาแลนด์มาร์กต่างๆ ทั้งตึกไทเป 101 ที่ตั้งตระหง่านใจกลางเมือง หรือจิ่วเฟิ่นเมืองโบราณเปี่ยมเสน่ห์ต้นแบบสถานที่ในการ์ตูนดัง
ด้านงานช้อปไต้หวันก็ทำคะแนนได้ไม่แพ้ด้านอื่นทั้งตลาดกลางวัน ตลาดกลางคืน และถนนคนเดินต่างๆ แต่ถ้าพูดถึงไฮไลท์ของการไปเดินตลาดเหล่านี้เชื่อว่าอันดับหนึ่งที่หลายคนต้องยอมศิโรราบควักเงินเปย์ให้เห็นจะหนีไม่พ้นบรรดาอาหารสตรีทฟู้ดหน้าตายั่วน้ำลายเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น เต้าหู้เหม็น ขนมปังไส้หมูตุ๋น บะหมี่ อาหารทะเลย่าง ไส้กรอก ซาลาเปา หมาล่า น้ำไข่กบ น้ำแข็งไส ไปจนถึงเมนูยอดฮิตอย่างชานมไข่มุก ที่ตบเท้ากันมาวางขายในราคาสุดจะมิตรภาพ
ความจริงจังระดับสามดาวในเรื่องอาหาร
ไต้หวันไม่เพียงแต่โดดเด่นในเรื่องอาหารสตรีทฟู้ดเท่านั้น แต่ด้วยการสนับสนุนของรัฐบาล และภาคธุรกิจต่างๆ นั้นทำให้ร้านอาหารทุกรูปแบบบนเกาะแห่งนี้ได้รับความสนใจจากสายตาผู้คนทั่วทั้งโลก ซึ่งในปี 2018 นี้ หลังจากการประกาศรางวัลมิชลินสตาร์เป็นที่เรียบร้อยก็มีข่าวที่น่ายินดีออกมาว่า มีร้านอาหารที่เข้าข่ายได้ดาวในปีนี้ด้วยกันถึง 20 ร้าน จากการส่งพิจารณาคัดเลือก 110 ร้าน ที่น่าตื่นเต้นก็คือในปีนี้มีร้านที่ได้รางวัลระดับ 3 ดาว (มากที่สุด) ติดเข้ามาในโผด้วยนั่นก็คือ Le Palais ร้านอาหารในเครือโรงแรม Palais de Chine Hotel ที่ผสมผสานความเป็นอาหารพื้นถิ่นภายใต้บรรยากาศเรียบหรูกึ่งดั้งเดิมกึ่งโมเดิร์น จากฝีมือเชฟมากประสบการณ์ที่ย้ายภูมิลำเนาจากมาเก๊ามานานกว่ายี่สิบปี อาหารของ Le Palais มีจุดเด่นที่ความเป็นต้นตำรับแท้ ทั้งไม่ว่าจากเสฉวน ฝูโจว หรือไต้หวันเอง เมื่อผสมผสานเข้ากับความประณีต และมาตรฐานระดับโรงแรมแล้ว ลูกค้าจึงสามารถคาดหวังได้ถึงรสชาติที่ไม่ธรรมดา ตลอดจนการบริการสุดประทับใจ ทำให้ก่อนที่จะได้รับการติดดาวจากมิชลิน Le Palais ก็นับว่าเป็นร้านที่มีชื่อเสียงในหมู่ชาวไต้หวันมายาวนานกว่าเจ็ดปีอยู่แล้ว สำหรับใครที่อยากไปลิ้มลองอาหารพื้นถิ่นดีกรีระดับโลกแนะนำว่าควรติดต่อเข้าไปจองก่อน ไม่ใช่แค่จองที่นั่ง แต่สำหรับอาหารบางเมนู อาทิ หมูบาร์บีคิว หรือลูกเป็ดย่างก็ต้องจองก่อนล่วงหน้าอีกด้วย
นอกจากร้านหรูที่คว้าดาวสามดวงจากมิชลินไปได้แล้ว ในปีนี้ไต้หวันยังมีร้านอาหารอีกถึงสองร้านที่ได้ดาวไปประดับสองดวง นั่นก็คือ Ryugin ร้านอาหารญี่ปุ่นร่วมสมัยที่ผสมผสานระหว่างความเป็นญี่ปุ่นกับวัตถุดิบจากไต้หวันเอาไว้ได้อย่างหรูหรา ลงตัว และ The Guest House ร้านอาหารจีนที่มีความเรียบง่าย แต่ซ่อนรสสัมผัสพิเศษเอาไว้ในอาหารทุกจาน ขณะที่ร้านอาหารระดับหนึ่งดาวมิชลินก็ไม่น้อยหน้า ติดโผเข้ามาถึง 17 ร้าน คละเคล้าหลายรูปแบบ ทั้งอาหารไต้หวัน อาหารท้องถิ่น อาหารยุโรป อาหารญี่ปุ่น บาร์บีคิว ไปจนถึงอาหารแนวอินโนเวชั่น ทั้งนี้สำหรับใครที่เป็นสายชอบลิ้มลองอาหารแบบสตรีทฟู้ดก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีลายแทงไป เพราะล่าสุดทางมิชลินได้เผยลิสต์ร้านอาหารราคาไม่แพงที่ควรค่าแก่การไปลิ้มลองในไต้หวันออกมากว่า 36 ร้าน ที่อยู่ใน Bib Gourmand List รวมเข้ากับอีก 10 สตรีทฟู้ดร้านดังจากตลาดไนท์มาร์เก็ต ไม่ว่าจะเป็นซี่โครงหมูตุ๋นยาจีน ขนมปังพริกไทยดำแบบฝูโจว หรือเต้าหู้เผ็ด ที่สายสตรีท สามารถไปตามรอยได้ไม่ยาก
อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบกับบัตรฯซิตี้
แหม อ่านแล้วแทบอยากเก็บกระเป๋าบินลัดฟ้าไปไต้หวันเสียเดี๋ยวนี้เลย แต่ช้าก่อนอย่าเพิ่งมือลั่นกดจองตั๋วจองโรงแรมอะไรไป เพราะการจะบินไปกินให้ฟินที่สุดนั้นมีทริคที่ง่ายนิดเดียว นั่นก็คือหาคนมาเป็นเจ้ามือให้เรานั่นเอง ซึ่งคนที่จะมารับอาสาหน้าที่นี้ก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นบัตรเครดิตซิตี้เจ้าเก่าเจ้าเดิมที่มาพร้อม
แคมเปญ ‘ทุกมื้อต้องจัดด้วยบัตรฯซิตี้ ฟินติดดาว อร่อยติดใจ ไกลถึงไต้หวัน’ เปิดโอกาสให้สมาชิกบัตรได้ลุ้นไปกินหรู อยู่สบาย อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบถึงไต้หวันนาน 3 วัน 2 คืน จัดหนักทั้งมื้อสตรีทฟู้ดไปยันมิชลินสตาร์ เพียงแค่ใช้จ่ายผ่านบัตรฯซิตี้ ตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป ณ ร้านอาหารใดก็ได้เพื่อรับ 1 สิทธิ์ลุ้นบินฟรี หรือรับไปเลย 10 สิทธิ์พร้อมส่วนลดเมนูพิเศษถึง 50% ที่ 10 ร้านที่ร่วมรายการ เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป
รีบกันหน่อย เพราะหมดเขตลุ้นแค่ 31 สิงหาคมนี้ บอกเลยงานนี้ใครไม่เปย์ ซิตี้เปย์อ่ะ! รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://citi.asia/THsCcCmW