รู้หรือไม่ว่า…เบลเยียมเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีวัฒนธรรมการดื่มเบียร์ที่เก่าแก่ และหลากหลายที่สุด
ด้วยสารพัดกรรมวิธีการหมักบ่มและส่วนผสมที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่และผู้ผลิต ทำให้ในประเทศเบลเยียมมีเบียร์ มากกว่า 700 ชนิด โดยเฉพาะวีทเบียร์ หรือเบียร์ขาวจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 575 ปี หมู่บ้านนั้นมีชื่อว่า Hoegaarden (อ่านว่า ฮู-การ์-เด้น)
วันนี้ The MATTER จะพาทุกท่านมาย้อนตำนานวีทเบียร์ของหมู่บ้านแห่งนี้กันว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจขนาดไหน และทำไม Hoegaarden ถึงได้กลายมาเป็นดินแดนแห่งการผลิตที่สำคัญมาจนถึงทุกวันนี้
ตำนานเบียร์ที่เริ่มมาจากนักบวช
ย้อนกลับไปราวปี ค.ศ. 1128 ไม่น่าเชื่อว่าเบียร์มีความใกล้ชิดกับนักบวชมาโดยตลอด เนื่องจากเบียร์เป็นเครื่องดื่มสำคัญในพิธีศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาในอดีต นักบวชหลายสายในทวีปยุโรปจึงมีชื่อเสียงเรื่องศาสตร์การต้มเบียร์ ไม่ว่าจะเป็นหัวเมืองใหญ่ๆ ไปจนถึงเมืองท้องถิ่นเล็กๆ อย่างนักบวชจากเมือง Grimbergen ที่มีชื่อเสียงเรื่องการผลิตเบียร์มาตั้งแต่ยุคกลาง พวกเขาได้ดำเนินการสืบทอดวัฒนธรรมการผลิตเบียร์ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน แถมล่าสุดยังได้แกะสูตรและกรรมวิธีแบบดั้งเดิมกลับมาผลิตอีกครั้ง
นี่คือความผูกพันของเบียร์กับศาสนาที่ถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น ซึ่งไม่ใช่แค่เมืองนี้เมืองเดียวเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายเมืองทั่วประเทศเบลเยียม รวมไปถึงหมู่บ้านเล็กๆ อย่าง Hoegaarden
เครื่องดื่มแห่งวัฒนธรรมชนชั้นสูง
มีหลักฐานหนึ่งจากจดหมายเหตุระบุว่า การต้มเบียร์เป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้าน Hoegaarden มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1318 โดยโรงเบียร์แห่งแรกตั้งอยู่ในหมู่บ้านบริเวณเมือง Flanders ห่างจากเมืองหลวง Brussels เพียง 40 กิโลเมตร ซึ่งนักบวชเริ่มต้มเบียร์ทันทีหลังจากก่อตั้งโบสถ์เสร็จ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่ผลิตโดยพระและนักบวช ทำให้กลายเป็นเครื่องดื่มที่ผูกติดกับศาสนาไปโดยปริยาย ไม่แปลกที่บริบทการดื่มเบียร์จึงเริ่มต้นจากวัฒนธรรมชนชั้นสูงเช่นเดียวกัน โดยรายได้จากการขายเบียร์นั้น นักบวชก็นำมาทะนุบำรุงโบสถ์ของตัวเองนั่นเอง
ดินแดนแห่งการผลิตเบียร์
ปี ค.ศ. 1445 เบียร์ Hoegaarden ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาครั้งแรกอย่างเป็นทางการ โดยนักบวชประจำหมู่บ้านที่คิดค้นสูตรขึ้นมาด้วยตัวเอง พวกเขาได้ใช้วัตถุดิบธรรมชาติ 100% ที่ปลูกได้ในหมู่บ้านอย่างข้าวสาลี (Wheat) มาเป็นพื้นฐาน แตกต่างจากเบียร์ประเภทอื่นที่ทำมาจากมอลต์ หมักบ่มกับน้ำแร่ธรรมชาติ ฮ็อป และยีสต์ จนกลายเป็นวีทเบียร์หรือเบียร์ขาวที่เรารู้จักกัน ทำให้เบียร์สอดแทรกอยู่ในวัฒนธรรม ประเพณี การใช้ชีวิตของผู้คนชาวเบลเยียมเสมอมา
ว่ากันว่าในช่วงศตวรรษที่ 19 หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้มีโรงหมักเบียร์มากถึง 13 โรง และโรงกลั่นอีก 9 โรง ถึงแม้ภายหลังจะมีปิดตัวก็ตาม แต่นั่นก็เป็นตัวพิสูจน์แล้วว่าหมู่บ้าน Hoegaarden เป็นดินแดนแห่งการผลิตเบียร์ที่สำคัญของโลกอย่างแท้จริง
รสชาติของความคิดสร้างสรรค์
สิ่งที่ทำให้เบียร์ Hoegaarden ครองใจคนทั่วโลกก็คือรสชาติแสนพิเศษที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของนักบวชผู้ผลิต เพราะย้อนกลับไปในช่วงนั้น ประเทศเบลเยียมยังเป็นอาณานิคมของประเทศเนเธอร์แลนด์อยู่เลย กลุ่มพ่อค้าและนักเดินทางชาว Dutch จึงมักนำวัตถุดิบแปลกใหม่ รวมไปถึงเครื่องเทศสำหรับปรุงอาหาร เข้ามาในประเทศเสมอ เหล่านักบวชจึงได้นำเครื่องเทศจากซีกโลกฝั่งตะวันออกอย่างเปลือกส้มเคียวราเซา (Curacao) และเมล็ดผักชี มาทดลองต้มกับวีทเบียร์จนค้นพบรสชาติใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานความแตกต่างจากธรรมชาติจนเกิดสูตรวีทเบียร์ดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมมาถึงทุกวันนี้
พิถีพิถันกับกรรมวิธีการผลิต
ความยอดเยี่ยมของ Hoegaarden ไม่ใช่แค่เพียงวัตถุดิบ แต่ยังรวมถึงกระบวนการหมักบ่มที่พิถีพิถันและใส่ใจทุกรายละเอียด เพราะกระบวนการผลิตเบียร์ต้องผ่านการหมักบ่มแบบลอยผิวถึง 2 ครั้ง ที่สำคัญคือการบรรจุลงภาชนะแบบไม่ผ่านการกรอง ทำให้เรายังสามารถมองเห็นความขุ่น และตะกอน ของวัตถุดิบที่ใช้ผลิต ไม่ว่าจะเป็นยีสต์ เปลือกส้ม และเมล็ดผักชี บริเวณด้านล่างภาชนะบรรจุเบียร์
ทั้งหมดนี้ใช้เวลาการผลิตอย่างน้อย 23 วันกับอีก 9 ชั่วโมง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ เครื่องดื่มสีเหลืองอ่อนขุ่นธรรมชาติ ที่มีรสชาติของข้าวสาลี กลิ่นหอมผลไม้ และผิวสัมผัสนุ่มละมุนอย่างที่เราคุ้นเคย
6 ขั้นตอนการเสิร์ฟเพื่อรสชาติที่สมบูรณ์แบบ
อีกมาตรฐานสำคัญที่ Hoegaarden ถ่ายทอดกันรุ่นสู่รุ่นก็คือ วัฒนธรรมการเสิร์ฟเบียร์อย่างสมบูรณ์แบบ หรือ The 6 Steps Perfect Serve ที่กลายมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ยังคงใช้กันอยู่ถึงทุกวันนี้ ได้แก่
- การเสิร์ฟในแก้วหกเหลี่ยมที่แช่เย็นจัด เพื่อรักษาคุณภาพของเบียร์ และได้รสชาติจากวัตถุดิบธรรมชาติ
- การรินเบียร์ต้องปล่อยฟองเบียร์ออกก่อน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเบียร์ทุกหยดเป็นเบียร์สดจริงๆ
- ขณะรินต้องเอียงแก้ว 45 องศา และอย่าให้หัวจ่ายเบียร์แตะโดนแก้วหรือสัมผัสกับเครื่องดื่ม เพราะจะทำให้รสชาติของเบียร์เปลี่ยนแปลง
- การรินต้องให้เกิดฟองเบียร์หนาประมาณ 3 เซนติเมตร ก่อนจะปิดหัวจ่ายแล้วดึงแก้วอย่างรวดเร็ว
- ใช้ที่ปาดฟองเก็บรายละเอียดสุดท้าย เพื่อรักษาความสวยงามและความสดของเบียร์เอาไว้
- สุดท้ายคือต้องเสิร์ฟเบียร์พร้อมแผ่นรองแก้ว โดยจะหันสัญลักษณ์ Hoegaarden เข้าหาผู้ดื่ม เพื่อสร้างประสบการณ์การดื่มที่เราไม่มีวันลืม
การปิดตัวและการฟื้นฟูของโรงเบียร์
จำได้ไหมว่า ยุคบูมๆ ของเบียร์ในหมู่บ้าน Hoegaarden มีโรงหมักเบียร์มากถึง 13 โรง และโรงกลั่นอีก 9 โรง ทว่าน่าเสียดายที่เวลาผ่านมาถึงปี ค.ศ. 1957 ความนิยมก็ลดน้อยถอยลง ทำให้โรงเบียร์แห่งสุดท้ายในหมู่บ้านชื่อ Tomsin ปิดกิจการ หมู่บ้านจึงเงียบเหงาไปสักพัก ก่อนที่จะมีการฟื้นฟูโรงเบียร์อีกครั้งภายหลัง
นอกจากนี้โรงเบียร์ยังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงหลายครั้ง ทั้งถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หรือเหตุการณ์ไฟไหม้ทำให้โรงเบียร์กลายเป็นเถ้าถ่าน ผู้ผลิตหลายรายก็ได้ให้เงินทุนช่วยเหลือ หนึ่งในนั้นก็คือผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Interbrew ที่ภายหลังควบรวมกิจการกับ AmBev กลายเป็น InBev ในปัจจุบัน
Pierre Celis ชายที่นำวีทเบียร์กลับมาผลิตใหม่
หลังจากเบียร์ห่างหายไปจากหมู่บ้านถึง 10 ปี ก็มี ปิแอร์ เซลิส (Pierre Celis) อดีตคนส่งนมที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นเกิดความคิดถึงรสชาติของเบียร์ Hoegaarden ขึ้นมา เขาจึงนำสูตรดั้งเดิมของนักบวชที่ใช้ข้าวสาลี น้ำแร่ธรรมชาติ ฮ็อป ยีสต์ เปลือกส้มเคียวราเซา และเมล็ดผักชี กลับมาผลิตอีกครั้ง รังสรรค์กรรมวิธีการผลิตจนได้รสชาติและสัมผัสของวีทเบียร์ Hoegaarden อย่างปัจจุบัน
ในที่สุดช่วงยุค 70 ปิแอร์ เซลิส จึงตัดสินใจเปิดโรงงาน Hoegaarden และได้รับความนิยมมากมาย จนกลายเป็นเบียร์ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก
วีทเบียร์คุณภาพกับรางวัลระดับโลกที่มากสุด
ปี ค.ศ. 1996 นับเป็นความสำเร็จของ Hoegaarden อย่างแท้จริง เมื่อเครื่องดื่มสีเหลืองทองนี้ได้รับรางวัล World Beer Cup มาครอบครอง ทำให้วีทเบียร์จากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเบียร์คุณภาพระดับโลก
ไม่เพียงเท่านั้น ปีต่อๆ มา Hoegaarden ก็ยังคงคว้ารางวัลจากเวทีประกวดวีทเบียร์ World Beer Cup ต่อเนื่องรวมทั้งหมด 10 รางวัล ไล่ตั้งแต่ระดับ Gold 6 ครั้ง (ประจำปี ค.ศ. 1996, 2002, 2004, 2006, 2008, 2016) ระดับ Silver 2 ครั้ง (ประจำปี ค.ศ. 2000, 2012) และระดับ Bronze 2 ครั้ง (ประจำปี ค.ศ. 1998, 2018)
สู่วีทเบียร์อันดับ 1 ของไทย
ไม่แปลกใจที่วีทเบียร์แบรนด์นี้จะมียอดขายอันดับ 1 ของโลก และจำหน่ายมากกว่า 80 ประเทศทั่วโลกทีเดียว ในปี ค.ศ. 2007 Hoegaarden ก็เดินทางเข้ามาสู่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยคุณภาพและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้ Hoegaarden ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจากกระแสปากต่อปาก เพราะช่วงนั้นตลาดเบียร์ยังมีอยู่ไม่กี่ชนิด ความแปลกและแตกต่างของ Hoegaarden จึงทำให้ครองใจคนไทยตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ดื่ม
ปัจจุบัน Hoegaarden ได้รับการขนานนามว่าเป็นวีทเบียร์ยอดนิยมอันดับ 1 ในไทย แต่สิ่งที่มีคุณค่ามากกว่านั้นก็คือ วีทเบียร์ตัวนี้ได้เปลี่ยนและเปิดโลกวัฒนธรรมการดื่มเบียร์ของคนไทยไปอย่างสิ้นเชิง
ความกลมกล่อมคู่เคียงอาหารไทย
หนึ่งวัฒนธรรมการดื่มที่เปลี่ยนไป ก็คือการจับคู่เบียร์เย็นๆ กับอาหารไทยรสชาติเผ็ดร้อน โดยเฉพาะอาหารประเภทซีฟู้ดที่ทานคู่กันกับ Hoegaarden ได้อย่างกลมกล่อม
ความสอดคล้องของคู่นี้จะยกระดับรสชาติอาหารไทยให้อร่อยยิ่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้เราอยากอาหาร แถมยังเปิดปุ่มรับรสอย่างเต็มที่ ทำให้เราได้ลิ้มรสชาติของอาหารไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่ยังไม่นับถึงบรรยากาศการดื่มด้วยนะ เพราะถ้าเราได้ดื่มกับเพื่อนหรือคนรัก บรรยากาศก็พาเราฟินได้ง่ายๆ เลย
การต่อยอดที่ท้าทายของ Hoegaarden
ถึงแม้จะเป็นวีทเบียร์เบอร์หนึ่งระดับโลกแล้ว แต่ Hoegaarden ก็ยังพัฒนาและคิดค้นสูตรเบียร์ใหม่ๆ ออกมาอยู่เสมอ ความคิดสร้างสรรค์ของผู้ผลิตจึงได้เลือกวัตถุดิบใหม่ๆ เช่น ผลไม้ มาปรุงเบียร์สูตรใหม่อยู่เสมอ ปัจจุบันครอบครัวของ Hoegaarden มีทั้ง Hoegaarden Rosée, Citrus, Grapefruit, White, Agrum, Cherry, Green Grape, Cherry Blossom และ Grand Cru รวมไปถึงเบียร์ 0.0% Non-alcohol ที่มีขายทั่วโลก
ความหลากหลายของรสชาติทั้งหมดนี้ ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสร้างทางเลือกและประสบการณ์การดื่มใหม่ๆ ให้กับนักดื่มชาวไทย และล่าสุด Hoegaarden กำลังจะมีรสชาติใหม่ออกจำหน่ายเร็วๆ นี้ ซึ่งเราจะพูดถึงใน Episode ต่อไป