คำจำกัดความของศิลปะไม่ได้เป็นเพียงผลงานขีดเขียนจากเส้นสีของดินสอเพียงเท่านั้น
เพราะจริงๆ แล้วศิลปะนั้นมีหลายแขนง ไม่ว่าจะภาพวาดในพิพิธภัณฑ์ รูปปั้นประติมากรรม สถาปัตยกรรมตึกรามบ้านช่อง ภาพถ่ายที่แขวนบนฝาผนังบ้าน หรือแม้แต่การผสานศิลปะเข้ากับการตลาดก็นับว่าเป็นศิลปะเช่นกัน
สิ่งที่น่าสนใจคือแบรนด์ต่างๆ เอง ก็ให้ความสนใจกับการนำศิลปะมาประยุกต์ใช้ในแผนมาร์เก็ตติ้งของตน ใครจะไปคิดว่าภาพวาดหญิงสาวปริศนาอันโด่งดังอย่างโมนาลิซ่าจะได้กลายมาเป็นพรีเซนเตอร์บนบิลบอร์ดโฆษณาของแบรนด์สินค้าหลากชนิด ทั้งผลิตภัณฑ์ยาสระผม กาแฟสำเร็จรูป และขวดซอสสปาเก็ตตี้ หรือแม้กระทั่งการที่แบรนด์เชิญศิลปินมา Collaboration กันจนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์คอลเลคชั่นพิเศษหรือแคมเปญใหม่ๆ ปังๆ ช่วยสร้างมูลค่าให้กับสินค้าและแบรนด์ได้เป็นอย่างดี
เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของศิลปะทั้งแบบ Fine Art และศิลปะเพื่อการโฆษณาแบบ Commercial Art มีความเกี่ยวเนื่องพัวพันกันอยู่อย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้
เราจึงอยากชวนมาพูดคุยกับคุณก้อง-กันตภณ เมธีกุล หรือ Gongkan ศิลปินหนุ่มผู้สร้างสรรค์ผลงานร่วมกับ The Pizza Company ในแคมเปญเฉลิมฉลองช่วงเทศกาล ว่าด้วยเรื่องการผสมผสานศิลปะเข้ากับการตลาดภายใต้คอนเซปต์ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานไม่แพ้รสชาติแห่งความอร่อยของพิซซ่า
ศิลปะกับการตลาดส่งเสริมหรือพึ่งพากันและกันอย่างไร
เราว่าศิลปะมันอยู่ได้ในหลายๆ แขนง ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาหรือแม้กระทั่งงานที่ดูไม่เกี่ยวกันเลย อย่างเช่น การแพทย์ เหมือนต้องใช้กราฟิกหรืองานอาร์ตเข้ามาช่วยส่งเสริมอยู่แล้ว เรารู้สึกว่าศิลปะทำให้คนมีความสุขมากขึ้น ทำให้คนเปิดใจในการดูอะไรมากขึ้น ดังนั้นศิลปะจึงช่วยส่งเสริมในเรื่องของความน่าสนใจและทำให้คนมีอารมณ์ร่วมกับงานนั้นๆ
อะไรคือความแตกต่างของ Fine Art และ Commercial Art
ถ้าเป็นงาน Fine Art เราก็จะต้องหาแรงบันดาลใจจากตัวเองหรือสิ่งแวดล้อมที่ศิลปินคนนั้นไปพบเจอมา โดยแต่ละงานแสดงหรือแต่ละงานก็จะมีเนื้อหาที่เราอยากจะพูด อยากจะสื่อ แล้วแต่ว่าศิลปินคนนั้นต้องการจะถ่ายทอดอะไร ส่วน Commercial Art เป็นการเอางานอาร์ตของเรามาผนวกเข้ากับแบรนด์ ดังนั้นเราจึงต้องหาจุดเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องกันและทำให้มันสามารถไปด้วยกันได้อย่างราบรื่น
Commercial Art ในแบบของ Gongkan มีฟังก์ชันกับผู้คนอย่างไรบ้าง
งานของเรามีความเป็น Pop Art มันก็เลยค่อนข้างจะเข้าใจง่ายอยู่แล้ว คาแรคเตอร์ดีไซน์ก็เป็นสไตล์วัยรุ่น เป็นคน Generation ใหม่ๆ ดังนั้นเราคิดว่ามันน่าจะเป็นการให้ความสุขกับทุกคนที่ได้ดู เพราะเป็นงานที่สามารถย่อยได้ง่ายมาก ใครดูก็สามารถทำความเข้าใจได้
จุดเริ่มต้นของแคมเปญสุด Festive จาก The Pizza Company คืออะไร
โดยปกติเวลานึกถึงช่วงเทศกาล หลายๆ แบรนด์ก็จะคิดถึงต้นคริสต์มาส ซานตาครอส ซึ่ง The Pizza Company มองว่าอยากจะทำอะไรให้มีความสนุกและพิเศษมากกว่าเดิม ด้วยความที่แบรนด์เองก็ให้ความสำคัญกับ Experience ของลูกค้ามากขึ้นโดยเฉพาะประสบการณ์ทานอาหารภายในร้าน รวมถึงต้องการสร้างสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นมากขึ้นด้วยแบรนด์ จึงอยากทำให้แคมเปญนี้มีความสนุกสนานเหมาะกับช่วงเวลาพิเศษของปี
ในมุมมองของแบรนด์ทำไมถึงมาร่ วมมือกับคุณ Gongkan จนเกิดเป็นแคมเปญนี้ได้
เรามองว่าความเป็น Gongkan ตอบโจทย์ในเรื่องของความสนุกอยู่แล้ว ประกอบกับเรามักจะมีไอเดียเข้ากับกลุ่มวัยรุ่น เป็นงานศิลปะที่ดูง่ายไม่ต่างจากการทานพิซซ่า ซึ่งก็เป็นเรื่องราวความสุขที่เกิดขึ้นได้ง่ายเช่นกัน และด้วยความที่เป็นช่วงเทศกาล The Pizza Company จึงอยากฉีกจากแคมเปญโปรโมชั่นแบบเดิมๆ มาทำอะไรที่มีเรื่องราวลองมา Collab กับศิลปินดูว่าถ้า The Pizza Company เป็นงานอาร์ตแบบ 100% จะเป็นอย่างไรถือว่าเป็นการหลุดออกจากกรอบของแบรนด์และเป็นความแปลกใหม่ในวงการอาหารด้วยเราว่ามันเป็นไอเดียที่ดีต่อลูกค้าเลยนะ เพราะยังไม่ค่อยเห็นแบรนด์ไทยร่วมมือกับงานอาร์ตแบบเต็มๆ มากเท่าไหร่ ดังนั้นแคมเปญนี้ก็จะเป็นงานหนึ่งที่ให้อะไรกับทั้งองค์กร ศิลปิน และลูกค้า
Gongkan ได้เข้ามารับผิดชอบส่วนไหนบ้างในแคมเปญนี้
เราได้เข้ามารับผิดชอบในทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาร์ตเลย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบตัวการ์ตูนทั้ง 6 ตัว การออกแบบ Material ต่างๆ เพื่อใช้ในแคมเปญ มีส่วนร่วมในการทำแอนิเมชั่นแทบจะทุกขั้นตอน ทั้งเขียนสตอรี่บอร์ด หา Reference ช่วยดูและควบคุมช่วง Post-production ตลอด เพื่อให้ผลงานออกมาเป็นสไตล์ของเราจริงๆ
คอนเซปต์ของแคมเปญนี้มาจากไหน
สิ่งหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกันของ The Pizza Company และ Gongkan คือรูปทรงวงกลมแบนของพิซซ่าและหลุมดำจากผลงาน Teleport รวมถึงแก่นสำคัญของหลุมดำคือการวาร์ปไปหาสิ่งใหม่ๆ โลกใหม่ๆ หรือประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งมันสามารถย้อนกลับเข้ามาในความเป็น Happy Moment Happy Sharing ของพิซซ่าได้ คอนเซปต์มันเลยเป็นการแชร์กันของทั้งรูปทรงและแมสเสจที่ต้องการจะสื่อจนสุดท้ายก็ได้ออกมาเป็นธีม “พาทะลุทุกความสุข ทุกปาร์ตี้ในแบบคุณ”
แนวคิดในการออกแบบคาแรคเตอร์ทั้ง 6 ตัวคืออะไร
ตอนแรกเราอยากได้คนกลุ่มหนึ่งที่สามารถเล่าถึงมุมมองทั้งครอบครัวและกลุ่มเพื่อนได้ด้วย คาแรคเตอร์คู่แรกที่ออกมา จึงเป็นผู้หญิงและผู้ชายยุคใหม่ สามารถตีความได้ทั้งเป็นพ่อ-แม่ หรือเป็นวัยรุ่นธรรมดาก็ได้ ต่อมาก็เป็นตัวสโนว์แมนที่มีความเป็นเด็กน้อย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็จะเป็นคนที่แต่งตัวแฟนซี มีความเยอะๆ หน่อย อย่างคาแรคเตอร์ที่ใส่ชุดลูกโป่งมีความน่ารักสนุกสนานหรือว่าคาแรคเตอร์ผู้หญิงที่ใส่หูฟังใส่เสื้อเอวลอย ดูเปรี้ยวซ่าและมีสีผิวที่เข้มกว่าคนอื่น ซึ่งตรงนี้เรารู้สึกว่าในสังคมมีความหลากหลายในเรื่องของสีผิว แล้วแต่ละคนก็มีสไตล์การแต่งตัวที่ต่างกันอีก เราอยากพรีเซนต์ตรงจุดนี้ด้วยจึงใส่เข้ามา สำหรับคาแรคเตอร์ตัวสุดท้ายคือเด็กผู้ชายใส่แว่น มีวงแหวนเหมือนดาวเสาร์โคจรอยู่รอบหัว แสดงถึงโลกจินตนาการ ความเหนือจริง และอาจจะมองเป็นตัวเราตอนเด็กก็ได้เพราะใส่แว่นเหมือนกันจะเห็นได้ว่าการออกแบบคาแรคเตอร์สะท้อนตัวตนความเป็นเราด้วยการใส่ความรู้สึกนึกคิดและชอบของเราลงไปด้วย
หากให้เล่าถึงตัวการ์ตูนแต่ละตัว ด้วยการจำลองขึ้นมาหนึ่งเหตุการณ์กลุ่มคนเหล่านี้จะกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน
เริ่มจากพิซซ่ากลายเป็นหลุมดำประตูมิติ แล้วคาแรคเตอร์ผู้หญิงสุดเปรี้ยวก็จะโผล่ขึ้นมากินพิซซ่าพร้อมกับเรียกเพื่อนๆ มาเอนจอยกันด้วยการกระพริบตา แล้วจู่ๆ คาแรคเตอร์น้องแว่นก็จะโผล่มาใช้เวทมนตร์เปลี่ยนบรรยากาศช่วงเช้าให้เป็นช่วงกลางคืนที่มีแสงเหนือบนท้องฟ้าเปรียบเหมือนกับความรู้สึกของการไปดูไฟคริสต์มาสในช่วงเทศกาลหลังจากนั้นก็จะมีคาแรคเตอร์อื่นๆ โผล่จากหลุมดำขึ้นมาสนุกด้วยกัน เหมือนว่าเป็นการชวนเพื่อนๆ มาปาร์ตี้ร่วมกัน
คิดว่าคาแรคเตอร์แต่ละตัวจะเลือกกินพิซซ่าหน้าอะไรที่เหมาะกับตัวเอง
แน่นอนว่าคาแรคเตอร์ผู้หญิงที่มีความเปรี้ยวต้องพรีเซนต์ความเป็นพิซซ่าหน้าฮาวาเอียน เพราะมีรสชาติทั้งเปรี้ยวและหวานเหมือนกับผู้หญิง คาแรคเตอร์ผู้ชายและสโนว์แมนคงจะชอบพิซซ่าหน้าเปปเปอร์โรนี เพราะส่วนใหญ่ผู้ชายจะชอบทานหน้านี้กัน ส่วนคาแรคเตอร์ที่ถือไก่ในมือน่าจะแทนความเป็นตัวเรา เพราะเราชอบกินไก่นิวออลีนของ The Pizza Company มาก
ทุกคนจะพบคาแรคเตอร์เหล่านี้ได้ในรูปแบบใดบ้าง
หลักๆ ก็จะเป็นแผ่นสติ๊กเกอร์ที่จะแจกให้กับลูกค้าที่มาทานในร้าน ชิ้นงานโฆษณาแอนิเมชั่นที่นำตัวการ์ตูนทั้ง 6 มาแอนิเมทขึ้นเป็น 3D นอกจากนั้นก็จะอยู่บนสื่อออนไลน์และออฟไลน์ อย่างหน้าต่างร้าน หน้าร้าน โฆษณาบนจอ LCD ตามสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่ AR ตัวการ์ตูนให้ทุกคนไปเล่นสนุกกันบนโทรศัพท์ สามารถพบได้ตั้งแต่ช่วงวันที่ 23 พ.ย. 2563 – 17 ม.ค. 2564 ตลอดช่วงแคมเปญเลย
ระหว่างการทำงานมีช่วงเวลาไหนที่รู้สึกสนุกและอินกับความเป็น Festive บ้างไหม
จริงๆ ตั้งแต่คิดไอเดียก็เริ่มอินแล้ว งานนี้เราค่อนข้างมีใจทำ และพอเรามีใจทำอะไร เราจะรู้สึกว่าอยากทำมากกว่าแค่ทำให้เสร็จๆ ไป เราจะพยายามให้มันดีต่อตัวเราและแบรนด์มากที่สุด เพราะฉะนั้นเลยมีอารมณ์ร่วมในการทำงานนี้ตลอด บวกกับคาแรคเตอร์ต่างๆ ก็ค่อนข้างสนุก งานทั้งหมดเลยสนุกไปด้วย
ไหนๆ งานก็สื่อถึง Teleport แล้ว ถ้าวาร์ปได้จริงๆ ช่วงปีใหม่อยากจะวาร์ปไปที่ไหน
อยากไป New York เราชอบความรู้สึกตอนที่อยู่ที่ New York มันมีความสุข แถมตอนนี้อากาศดีมาก ประมาณ 16 องศาเอง แต่เพราะโควิดทำให้เราไปไม่ได้ในปีนี้ อาจจะต้องวาร์ปไปกิน New York Pizza ขนาด 18 นิ้วที่ The Pizza Company ก่อน