ในยุคสมัยที่การเดินทางของคนเมืองทุกวันนี้ ยังไม่สามารถฝากความหวังอะไรไว้ได้
ระบบขนส่งสาธารณะก็ยังไม่ไปถึงได้อย่างสะดวกสบายทุกแห่งหน รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายก็อีกหลายปีกว่าจะได้ใช้ จึงไม่แปลกที่รายงานสถิติการขายรถยนต์สะสม 9 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ มียอดการขายรวมทั้งสิ้นกว่า 761,847 คัน! เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ถึงยอดซื้อรถจะพุ่งขนาดไหน แต่การจะเป็นเจ้าของรถสักคันต้องพร้อมที่จะดูแลรถด้วย เพราะไม่ใช่แค่จ่ายเงินดาวน์ แล้วผ่อนเท่านั้น แต่ต้องดูแลต่ออีกยาวๆ ทั้งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้รถ และการดูแลรักษาไปตลอดอายุการใช้งาน
ลองไปดูกันว่า การจะมีรถสักคัน ต้องดูแลอะไรบ้างแค่ไหน และอะไรจะเป็นทางออกสำหรับคนอยากมีรถ แต่ไม่ต้องดูแลเรื่องต่างๆ ในการใช้รถที่อาจวุ่นวายกวนใจเราได้อีกบ้าง
แค่เริ่มก็ยากแล้ว
การมีรถสักคันเหมือนเป็นความฝันของคนทำงานหนุ่มสาวในยุคนี้ ที่ถูกระบบขนส่งสาธารณะในเมืองทำร้าย การเดินทางไปไหนมาไหนด้วยตัวเองด้วยยานพาหนะของตัวเอง จึงเป็นทางเลือกที่ใครๆ ก็อยากจะมี แต่ก่อนที่จะไปถึงความฝันนั้นต้องลองสำรวจความพร้อมเสียก่อน เพราะการซื้อรถสักคัน น้อยคนนักที่จะมีเงินสดก้อนใหญ่หลักแสนหลักล้านไปจ่าย จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการวางเงินดาวน์แล้วผ่อน ซึ่งศักยภาพในการผ่อนต่อเดือนก็ต้องมาประเมินจากรายได้ประจำของผู้ซื้ออีก แถมระยะเวลาในการผ่อนส่วนใหญ่ก็ยาวตั้งแต่ 4-7 ปี ไม่ใช่ผ่อนแค่ 10 เดือนเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้หลายคนรับภาระผ่อนต่อไม่ไหว ต้องปล่อยให้ถูกยึดหรือขายทอดตลาด มีข้อมูลว่ารถประเภทอีโคคาร์ที่มีอายุการใช้งานน้อยกว่า 2 ปี ถูกนำมาขายต่อเป็นสัดส่วนที่สูงกว่ารถประเภทอื่นๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว รถที่นิยมนำมาขายต่อคือรถที่มีอายุการใช้งาน 5-7 ปี เรียกว่าแค่เริ่มก็ยากแล้ว
ค่าใช้จ่ายที่ตามมา
ถัดจากค่าใช่จ่ายเรื่องผ่อนรายเดือนที่ต้องดูแล ก็ต้องมารับมือกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยเริ่มต้นตั้งแต่ค่าบำรุงรักษารายเดือน รายปี หรือเช็คระยะตามรอบที่กำหนด มีตั้งแต่หลักพันไปถึงหลักหมื่นก็มี ต่อด้วยค่าประกันภัย ซึ่งถ้าเป็นรถใหม่อย่างน้อยๆ ก็ต้องทำเป็นชั้น 1 เกิดอุบัติเหตุจะได้ไม่ต้องแบกรับค่าซ่อม มีค่าเบี้ยหลักหมื่นเช่นกัน และค่าต่อภาษีประมาณ 1,500-3,000 บาทต่อปี และค่าพ.ร.บ.ประมาณ 600-1,200 บาทต่อปี ซึ่งแพงขึ้นตามขนาดเครื่องยนต์ ยิ่ง cc เยอะก็ยิ่งแพง เป็นค่าใช้จ่ายบังคับตามกฎหมายที่ต้องจ่ายทุกๆ ปี นอกจากนั้นคือค่าอะไหล่ต่างๆ ที่เสื่อมถอยไปตามระยะเวลาการใช้งาน อย่างเช่น ยางและแบตเตอรี่ ต้องเปลี่ยนทุกๆ 2 ปี หรือประมาณ 50,000 กิโลเมตร ที่บอกเลยว่ามีเป็นหลักหมื่นเช่นกัน นี่ยังไม่นับค่าใช้จ่ายรายวันทั้งค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน และค่าที่จอดรถ ซึ่งมากน้อยขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนอีก
เบื่อก็เปลี่ยนยาก
เพราะมูลค่าของรถที่ลดลงไปเรื่อยๆ แตกต่างจากอสังหาริมทรัพย์ที่มูลค่าอาจเพิ่มขึ้นตามศักยภาพของทำเล ทำให้คนที่มีนิสัยเบื่อง่าย ชอบรถรุ่นใหม่ๆ หรือรู้สึกว่าสีรถไม่ถูกโฉลก ก็ไม่สามารถเปลี่ยนรถได้ง่ายๆ เหมือนเปลี่ยนสมาร์ทโฟน เพราะต้องมากังวลกับราคาขายต่อ ยิ่งเป็นรถยี่ห้อที่ไม่ได้ติดตลาดหรือสีรถที่ไม่นิยม ก็ยิ่งทำให้ราคาขายต่อลดลงไปอีก ขายถูกไปก็ไม่คุ้มค่า เพราะฉะนั้นการตัดสินใจออกรถสักคัน อาจต้องคิดอย่างถี่ถ้วนรอบด้านเลยทีเดียว
ใช้ KINTO สิ
หมดทุกปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น เพียงแค่ลองใช้ KINTO บริการรถยนต์แบบครบวงจรรูปแบบใหม่จากโตโยต้า ที่มีค่าบริการรายเดือนใกล้เคียงค่างวดผ่อนรถปกติ และบริการครอบคลุมทุกอย่างในการใช้รถทั้งประกันภัยชั้น 1 Toyota Care การบำรุงรักษาด้วยคุณภาพมาตรฐาน การเปลี่ยนยางรถยนต์ เปลี่ยนแบตเตอรี่ ด้วยอะไหล่แท้โตโยต้า รวมถึงการต่อภาษีและพ.ร.บ.ประจำปี พร้อมบริการพิเศษช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง และบริการเสริมรถทดแทนให้ใช้ระหว่างซ่อม ที่สำคัญไม่ต้องกังวลกับราคาขายต่อรถยนต์ในอนาคต ด้วยสัญญาเพียง 3 หรือ 4 ปี ก็สามารถเปลี่ยนรถใหม่ได้ มีแพ็คเกจการขับขี่ที่สามารถเลือกได้ตั้งแต่รุ่นรถ สีรถ ระยะทางการขับขี่ และระยะเวลาการใช้รถได้ตามแต่ละไลฟ์สไตล์ สมัครง่าย อนุมัติไวภายใน 1 ชั่วโมง กับ 4 ขั้นตอนในการสมัครใช้บริการผ่านทางออนไลน์ สะดวกสบาย ง่าย ไม่จุกจิก เปลี่ยนมุมมองต่อการมีรถสักคันให้เป็นเรื่องง่าย
สมัครใช้บริการทางออนไลน์ คลิก https://www.kinto-th.com
หรือสอบถามข้อมูลบริการได้ที่ KINTO Call Center 24 ชม. โทร. 02-386-3888
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.autodeft.com/deftreport/car-sales-thailand-september-2019
https://www.prachachat.net/columns/news-346626