“อยากสมมติตัวเราเองเป็นสเต็กสักชิ้น เป็นวัตถุดิบหลักที่อยู่ตรงกลาง มีคนรอบข้างเป็นเครื่องเคียง ความร้อนเป็นอุปสรรคที่พบเจอ แล้วประสบการณ์ก็เป็นเครื่องปรุงที่หมักสเต็กให้อร่อย เพราะส้มเชื่อว่าประสบการณ์จะค่อยๆ ทำให้เราเรียนรู้ชีวิตและรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป”
ส้ม – มารี เออเจนี เลอเลย์ เปรียบเทียบชีวิตการทำงานของตัวเองเป็นอาหาร ซึ่งถ้าจะให้นิยามคร่าวๆ ว่าเธอคนนี้อยู่ในสถานะไหนในวงการบันเทิงคงจะตอบยากสักหน่อย เพราะเป็นทั้งศิลปิน นักแสดง ยูทูบเบอร์ และอีกหลายอย่างที่ความสามารถของเธอมี
ลองไปฟังวิธีคิดและเรื่องราวในชีวิตของ ส้ม มารี กับความเชื่อในเรื่องประสบการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เป็นส้มเป็นส้มอย่างทุกวันนี้
อยากให้อัพเดตสถานะตัวเองหน่อยว่า ส้ม มารี ทำอะไรอยู่ตอนนี้
เวลาคนถามสมมติหรือสื่อเขาถามว่าช่วงนี้ทำไรบ้าง ตอบยากมากเลย เพราะรู้สึกว่าฉันทำทุกอย่างเลย ถ้าหลักๆ เลยตอนนี้ที่ทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ ก็จะบอกว่าตัวเองเป็นศิลปินที่ทำเพลงและเป็นยูทูบเบอร์ คือสองอย่างที่เป็นอาชีพหลักในตอนนี้ ส้มเป็นมนุษย์ที่ต้องแบ่งเวลามานานมากๆ แล้ว เพราะตั้งแต่เริ่มเข้าวงการมาอายุ 16 ปีก็ต้องแบ่งเวลาทั้งเรียนและทำงาน มันก็เลยเหมือนฝึกตัวเองให้เป็นคนที่สามารถแบ่งเวลาอย่างนี้ได้เรื่อยๆ
จากที่เป็นศิลปินมาก่อน กลายมาเป็นยูทูบเบอร์ได้ยังไง
มาจากการที่อยากร้องเพลงเลย คือตอนนั้นไม่มีโปรเจกต์ที่จะได้ปล่อยเพลง จะทำไงดี เราก็อยากร้องเพลงอยู่ แล้วช่วงนั้นฝรั่งเขาก็มีการร้องโคเวอร์กันบ่อยๆ เราก็อยากลองบ้างและช่วงนั้นก็ฝึกหัดเล่นกีต้าร์ด้วยพอดี เลยแบบตั้งกล้องถ่ายตัวเองร้องเพลงเล่นกีต้าร์ไปด้วย ตอนแรกพอเอาลงยูทูบก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องมีดูเยอะนะ เหมือนแค่อยากเก็บไว้ดูเองมากกว่า แต่ว่าพอทำไปทำมาก็กลายเป็นว่าคนดูชอบ แต่ช่วงหลังๆ ก็คือเลิกโคเวอร์เพลง แล้วไปโฟกัสกับเพลงตัวเองมากขึ้น ส่วนช่องก็เปลี่ยนให้เป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้นแทน
ตอนเปลี่ยนรูปแบบช่องให้เป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น มีวิธีคิดคอนเทนต์ยังไงบ้าง
ด้วยความที่เราชอบเที่ยว ก็กลัวคนจะคิดว่าวันๆ ไม่ทำอะไรเลยเอาแต่เที่ยว เราก็เลยพยายามหาข้ออ้างว่านี่ไงไปเที่ยวด้วย ถ่ายด้วย แปลว่าเราก็ได้คอนเทนต์ด้วย การไปเที่ยวของเราก็จะไม่สูญเปล่า ช่วงแรกที่เราเปลี่ยนมาเป็นไลฟ์สไตล์ ไม่มีคนดูเลยนะ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ติดตามเรา เพราะว่าเราร้องเพลงไง แต่เราก็ยังคงกัดฟันสู้และก็เชื่อว่าวันหนึ่งมันจะต้องมีคนที่สนุกกับการดูเรา ก็เลยทำมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ในช่องก็เลยมีคอนเทนต์ที่หลากหลายมาก
ตั้งใจอยากให้คนดูสนุกกับตัวส้มยังไง
คืออยากให้คนรู้สึกใกล้ชิดกับเราด้วย เพราะว่าเมื่อก่อนการเป็นแบบศิลปินดารา เหมือนคนทั่วไปจะเห็นเราแค่ด้านเดียว อย่างด้านที่เราไปออกทีวีให้สัมภาษณ์กับพิธีกร หรือแค่ด้านที่เราร้องเพลงหรือเล่นละคร เราก็รู้สึกว่าคนจะไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วตัวตนเราเป็นยังไง ซึ่งการทำคอนเทนต์ที่เป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น มันทำให้คนดูใกล้ชิดกับเรามากขึ้น ถ้าเกิดคนได้รู้จักเรามากขึ้นและอินกับสิ่งที่เราทำด้วย ก็คงเป็นเรื่องดีที่เขาจะสนุกไปกับเราด้วย
ปกติเวลาคิดคอนเทนต์ มาจากตัวเองหรือมาจากคอมเมนต์ส่วนใหญ่
ก็ผสมกันนะ อย่างเมื่อก่อนตอนที่ทำเพลงโคเวอร์ ก็เลือกจากเพลงที่เราอยากร้องหรือเลือกจากที่คนขอมาเยอะๆ หลังๆ พอทำเป็นไลฟ์สไตล์มาจากส้มเองนี่แหละ ว่ากำลังอินอะไรอยู่ตอนนั้น เช่นสมมติช่วงนี้ชอบ BNK48 มากๆ ก็อาจจะพาทุกคนไปเที่ยวงานจับมือ หรือช่วงนี้ชอบทำอาหารก็อยากลองทำอะไรออกมาให้คนดูเลย แต่ถ้าบางอย่างสมมติว่าคนขอมาเยอะมากๆ แต่เราไม่ได้อินที่จะทำ เราคงไม่ทำเหมือนกัน การทำคอนเทนต์ในช่องของส้ม คือมันต้อง Based on ในสิ่งที่ส้มอินหรือสิ่งที่ส้มชอบ การทำเพลงก็ไม่ต่างกัน ต้องเป็นเพลงที่ทำมาแล้วรู้สึกชอบและรักมันจริงๆ ถึงจะปล่อยออกไปให้คนฟังได้
พอเริ่มทำจริงจังเป็นอาชีพ รู้สึกสนุกเหมือนเดิมไหม
พอหลังๆ เริ่มทำเป็นอาชีพ ก็ยังสนุกเหมือนเดิมนะ แต่เหมือนมีรสชาติขึ้นมากกว่า เพราะจะมีความกดดันบ้าง แต่ในความกดดันก็เหมือนเป็นประสบการณ์ที่ค่อยๆ หล่อหลอมให้เราแกร่งกล้ามากขึ้น มีบางช่วงที่เราเป๋เหมือนกันนะ เหมือนเป็นช่วงที่เราหาตัวเองไม่เจอมากกว่า เราไม่รู้ว่าความพอดีคืออะไร หรือว่าควรขายของยังไง แต่ว่าช่วงหลังคืออย่างที่บอกว่าประสบการณ์มันจะค่อยๆ หล่อหลอมให้เราค่อยๆ เข้าใจตัวเองมากขึ้น
เรื่องของฟีดแบ็กมีผลเยอะไหม แล้วจัดการกับคอมเมนต์ที่ไม่ดียังไง
มีช่วงที่แบบหนักหนาสาหัสกับคอมเมนต์เหมือนกัน เมื่อก่อนทำเพลงโคเวอร์ไม่ค่อยมีคอมเมนต์ เพราะเหมือนคนมาฟังเพลงเฉยๆ แต่พอทำเป็นไลฟ์สไตล์ คนก็จะเริ่มมีความคิดเห็นมากขึ้น อาจจะชอบหรือไม่ชอบหรืออยากด่าหน่อย แรกๆ ก็นอยด์ อ่านแล้วบางครั้งก็โมโห แต่ว่าช่วงหลังก็พยายามจะปิดมากกว่า ต้องฝึกตัวเองเหมือนกันนะกว่าจะถึงจุดที่อ่านคอมเมนต์แล้วไม่รู้สึกอะไร ซึ่งบางครั้งมันก็รู้สึกแหละแต่ว่าตอบโต้ไม่ได้ จะพยายามปล่อยๆ มันไป
เคยมีแฟนคลับมาคอมเมนต์แล้วประทับใจบ้างไหม
ช่วงหลังจะเจอเยอะมาก ก็งงเหมือนกันนะ คือรายการ ‘ครัวอิชั้น’ เป็นรายการของคนที่ทำอาหารไม่เป็นมาลองทำอาหาร ก็เริ่มมีคอมเมนต์จากเด็กๆ ที่บอกว่า พี่เป็นไอดอลของหนูเลย พี่ทำให้หนูอยากทำอาหาร หรือบอกว่าพี่เป็นคนที่ทำให้หนูรู้สึกว่าหนูทำอาหารเก่ง ถึงแม้จะทำไม่เป็นก็ตาม เวลาออกไปข้างนอกแล้วก็เจอแฟนๆ หรือเจอแบบน้องๆ เดินเข้ามาบอกว่า หนูชอบคอนเทนต์นี้ของพี่มาก ทำต่อไปเรื่อยๆ นะ มันเป็นหนึ่งกำลังใจที่ทำให้เราอยากจะทำออกมาให้ดีต่อไปเรื่อยๆ
ตอนที่เข้าวงการมาใหม่ๆ มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการทำงานอย่างไร แล้วทุกวันนี้เปลี่ยนไปมากไหม
ตอนแรกก่อนเข้าวงการเลย เรามีความเชื่อว่ามันจะต้องสวยงามแบบที่ตอนเราเด็กๆ เห็นนักร้องที่เราชอบแล้วรู้สึกว่าชีวิตดีจังเลย มีชื่อเสียง มีเงิน ได้ทำสิ่งที่รัก แต่ว่าพอได้มาทำงานจริงๆ ความเชื่อก็เปลี่ยน เพราะมันไม่ได้สวยงามแบบนั้น การแข่งขันก็สูง เรื่องของโอกาสที่แต่ละคนได้ไม่เท่ากัน แต่ว่าเอาเป็นว่าพอเราเข้ามาแล้ว เราถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้ว ไม่ได้มีอาชีพไหนที่มันสวยหรูจริงๆ ทุกอย่างต้องมีการฝ่าฟัน ต้องมีความพยายาม ต้องมีการอกหักผิดหวังบ้าง ก็ต้องสู่ฝ่าฟันจนกว่าจะถึงวันที่เราประสบความสำเร็จ
ด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้น ทำให้การทำงานยากขึ้นไหม
ตอนที่ส้มยังไม่ได้เป็นยูทูบเบอร์เรารู้สึกว่ามันยากมากๆ เลยนะ การแข่งขันมันสูง แต่พอโตมาสักพักหนึ่ง ตอนที่เรามีช่องของตัวเองแล้ว พอเห็นทุกคนทำช่องก็ไม่ได้รู้สึกว่าใครเป็นคู่แข่งเรานะ เพราะว่าในคอมมูนิตี้ของการเป็นยูทูบเบอร์ เราเชื่อในเรื่องของการมา collaboration กันหรือมาทำคอนเทนต์สนุกๆ ด้วยกันเพื่อสร้างมิตรภาพมากกว่า ส่วนเรื่องเพลง ยุคนี้มันเป็นยุคที่ไม่ได้มีแค่สองค่ายใหญ่อย่างที่เรารู้จักกันตอนเด็กๆ แล้ว การทำเพลงเหมือนเราต้องช่วยกันยกวงการมากกว่า เพราะการทำเพลงได้เงินน้อยมาก เพลงขายไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน แต่ละค่ายต้องเป็นพันธมิตรกันจับมือกันไป เพื่อแบบว่าให้วงการเพลงมันอยู่รอด
ช่วงไหนที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต
มีที่ช่วงหนึ่งเราเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งเราคิดว่าการเล่นโซเซียลฯ ต่างๆ มีส่วนมาก เพราะมันไม่ใช่แค่เล่นโซเซียลฯ แต่เราทำงานกับมัน ยิ่งเอาชีวิตเข้าไปยุ่งไปดำดิ่งกับมันในทุกๆ เวลา ก่อนหน้านั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร รู้สึกว่าทุกอย่างมันเทามาก รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง รู้สึกไม่ดีกับทุกอย่าง อยู่ดีๆ ก็ร้องไห้ ไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้เลย จนถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกไม่อยากเป็นแบบนี้ แบบ เฮ้ย ไม่ได้แล้ว รู้สึกว่าชีวิตไม่โอเคมากๆ ก็เลยตัดสินใจไปหาหมอ เลยได้รู้ว่าตัวเองเป็น เป็นจุดที่ทำให้เราต้องต่อสู้กับมันประมาณหนึ่งเหมือนกัน ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตเราที่เจอเลย
มีวิธีการดูแลตัวเองยังไงให้อาการดีขึ้น
เหมือนพอเราเป็น ก็เริ่มหาวิธีจัดการ คุณหมอเขาก็ให้คำแนะนำที่ดี มีแบบฝึกหัดให้ทำ แบบถ้าเราเจอเรื่องอะไร ให้เรากลับมาถามตัวเองว่าได้คำตอบยังไง แล้วค่อยๆ เปลี่ยนทัศนคติควบคู่กับการกินยา รวมถึงเคลียร์คิวเพื่อที่จะไปต่างจังหวัด โดยที่แทบจะไม่แตะโทรศัพท์เลย เอาตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมเดิมสักพักหนึ่ง ทำให้ช่วงนั้นเลยต้องหารถใหม่สักคันเพื่อไปออกทริป ซึ่งตอนนั้นเป็นทริปที่เราอยากจะพาหมาไปเที่ยว ทำให้อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เราอยากซื้อรถคันใหม่เพราะมีหมาด้วย แล้วหมาเราไม่ได้เป็นหมาไซส์เล็ก เป็นหมาคอร์กี้ที่มีความใหญ่นิดหนึ่ง น้องจะมีนิสัยที่เราฝึกคือถ้าอยู่ในรถต้องอยู่ในบ๊อกซ์ที่มีขนาดใหญ่ประมาณหนึ่ง ทำให้เรารู้สึกว่ามันต้องเป็น C-HR นี่แหละ เพราะว่าขนของได้เยอะ ข้างหลังก็ยังสามารถใส่รถเข็นหมาได้อีก
นอกจากเรื่องหมาแล้ว อะไรที่ทำให้ตัดสินใจซื้อ C-HR
ตอนแรกเราไปดูรายการหนึ่ง แล้วเขาไปเป็นสปอนเซอร์ เราก็ไปดูราคาแล้วรู้สึกว่าราคามันสมเหตุสมผล ไม่ได้สูงมากถ้าเทียบกับความเป็นรถไฮบริด แล้วพี่ที่เป็นมือกลองของวงส้มเขาซื้อก่อน ก็เลยได้ทีถามเลยว่าใช้เป็นยังไงบ้าง เพราะก่อนหน้านี้เราก็ไม่เคยมีรถไฮบริดมาก่อน อีกปัจจัยหนึ่งคือก่อนหน้านี้ส้มขับรถคันเล็ก มันเก็บของได้ไม่เยอะ แล้วแบบหลังๆ พอออกจากบ้านแล้วต้องไปหลายที่ ต้องขนของเยอะเพื่อเตรียมสำหรับหลายงาน ไหนจะเครื่องดนตรีอีก แล้วเวลาไปไหนก็จะต้องมีบ๊อกซ์กรงหมาไปด้วย ก็เลยอยากได้คันที่มันใหญ่ขึ้นจากเดิม
คิดว่า C-HR กับส้มมีความคล้ายกันยังไง
รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนหนึ่งที่เข้ามาในวงการบันเทิง แล้วเป็นทั้งนักร้อง นักแสดง พิธีกร ดีเจก็เคยเป็น ยูทูบเบอร์ก็เป็นด้วย เป็นคนหนึ่งที่ทำอะไรได้หลายอย่างเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเลยรู้สึกว่าเรากับ C-HR มีความคล้ายกันอยู่ แต่ถ้าอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือน อาจจะเป็นขนาดไซส์ เพราะว่าส้มเป็นมนุษย์ตัวเล็ก แต่ว่า C-HR คันเขาใหญ่ อาจจะไม่เหมือนกันแค่เรื่องนี้
มีฟังก์ชั่นไหนที่ชอบที่สุด
ชอบฟังก์ชันการฟังเพลงมากที่สุด แล้วอีกอย่างหนึ่งที่ชอบคือรีแอ็กชั่นของคนที่มานั่งรถเราครั้งแรกแล้วงง เพราะเวลาเราสตาร์ทรถแล้วไม่ได้ยินอะไรเลย ทุกคนก็จะถามว่าแบบสตาร์ทแล้วเหรอ ดูมหัศจรรย์มาก ตอนแรกที่ไปซื้อ พนักงานเขาก็จะต้องสอนเราใช้รถวันแรกใช่ไหม เราก็เหยียบเบรกกดสตาร์ทปุ๊บมันก็เงียบ เราก็นึกว่ายังไม่สตาร์ท กดอีกทีหนึ่งก็ยังเงียบ จนเขาบอกว่ามันติดตั้งแต่ทีแรกแล้วค่ะ เป็นความฮาอย่างหนึ่งที่เราได้สัมผัสแล้วก็ชอบ
C-HR เปลี่ยนความเชื่อเรื่องการขับรถของส้มยังไงบ้าง
อย่างแรกเลยการขับรถคันใหญ่ไม่ได้เป็นเรื่องยาก คือเมื่อก่อนส้มกลัวมาก ติดนิสัยเวลาซื้อรถต้องซื้อคันเล็กพอ เพราะว่าเราขับไม่เก่ง กลัวชน กะระยะไม่ถูก แต่พอมาเป็น C-HR รู้สึกว่ามันใหญ่มาก เกินตัวส้มไปเยอะเลย แต่ถามว่าขับยากไหม ขับไม่ยากเลย คือเขามีเซ็นเซอร์รอบคันจริงจัง ข้างหน้า ซ้ายขวา เตือนให้ระวัง หรือสมมติว่าข้างหน้าเบรกกระทันหันก็ขึ้นจอเตือนเลยว่าให้เบรก รวมถึงกระจกข้างก็มีเซ็นเซอร์เตือนเวลาตอนจะเปลี่ยนเลน บอกจุดอับสายตาที่เรามองไม่เห็นให้ระวัง คือมีระบบความปลอดภัยที่รองรับทุกอย่าง รองรับการทำงานได้ดีมากๆ มันเปลี่ยนความคิดเราว่า รถคันใหญ่ไม่จำเป็นต้องขับยากเสมอไป และอีกอย่างหนึ่งคือเคยเชื่อว่าคันเล็กถึงจะประหยัดน้ำมันกว่าคันใหญ่ แต่ว่าคันนี้ไม่ใช่ ด้วยความที่เป็นระบบไฮบริด ทำให้ไม่ต้องเติมน้ำมันบ่อยๆ อยากฝากถึงผู้หญิงตัวเล็กๆ เหมือนส้มละกัน รวมถึงคนที่ขับรถไม่ค่อยแข็งเท่าไหร่ ไม่มั่นใจ หรือกำลังหัดขับรถแล้วไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง ก็แนะนำ C-HR ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเขามีฟังก์ชั่นที่ช่วยเราได้เยอะมากๆ เป็นตัวเลือกที่ดี ถึงแม้ว่าจะตัวเล็กแต่ขับรถคันใหญ่ก็ไม่ได้ยาก ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องกลัวการขับรถอีกต่อไป
ถ้าเปรียบชีวิตส้มเป็นอาหารสักจาน คิดว่าเป็นอาหารประเภทไหน
ถ้าเทียบเราเป็นอาหาร อยากสมมติตัวเราเองเป็นสเต็กสักชิ้น เป็นวัตถุดิบหลักที่อยู่ตรงกลาง มีคนรอบข้างเป็นเครื่องเคียง ความร้อนเป็นอุปสรรคที่พบเจอ แล้วประสบการณ์ก็เป็นเครื่องปรุงที่หมักสเต็กให้อร่อย เพราะส้มเชื่อว่าประสบการณ์จะค่อยๆ ทำให้เราเรียนรู้ชีวิตและรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป
ความเชื่อเรื่องความสำเร็จในนิยามของส้มคืออะไร
หลายคนอาจจะมองว่าการที่มีคนติดตามเยอะๆ หรือยอดวิวเยอะๆ คือความสำเร็จ แต่ว่าส้มเคยผ่านทั้งในวันที่ยอดวิวน้อยต่ำเตี้ยมาก จนไปถึงวันที่ยอดวิวเยอะมากๆ สุดท้ายแล้วเวลามาถามตัวเองว่าอะไรคือความสำเร็จ ส้มมองว่าถ้าเราใช้ชีวิตวันนี้แล้วเรามีความสุข มันคือการประสบความสำเร็จแล้ว เพราะว่าถึงจุดหนึ่งบางทีเงินทองมันไม่ได้ตอบโจทย์อะไรขนาดนั้น หรือชื่อเสียงก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เติมเต็มเราได้ขนาดนั้น ตราบใดที่ตอนนั้นเราไม่ได้มีความสุข เพราะฉะนั้นส้มเลยมีความเชื่อว่า การที่เรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำนั่นแหละ คือความสำเร็จแล้ว
อะไรคือความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้
การทำคลิปแต่ละคลิป เรามีความสุขในการทำอยู่แล้ว แต่ถ้าเราสามารถกระจายความสุขนี้ไปสู่คนดูได้ก็คงจะเป็นเรื่องดี คือก่อนหน้านี้เราพยายามทำทุกอย่างให้มันสนุก แต่หลังๆ เราก็อยากจะให้ประโยชน์กับคนดูด้วย อยากให้คนดูรู้สึกว่าเกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะทำตามบ้าง เหมือนเราก็ได้สร้างประโยชน์ให้กับโลกใบนี้ด้วย ก็ยังคงทำอย่างที่ทำอยู่ทุกวันต่อไปเรื่อยๆ และก็หวังว่ายังคงมีความสุขแบบนี้ทุกๆ วัน