ในวันที่โลกวิ่งเร็วจนเหมือนหัวใจแทบวิ่งตามไม่ทัน การได้หยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมาอ่านน่าจะช่วยให้เราได้ชะลอความเร็วของโลกใบใหญ่ลงมาสู่โลกที่วิ่งไปตามจังหวะของหัวใจ
ไม่มีอะไรจะเหมาะไปกว่าการได้หยิบหนังสือที่ช่วยฮีลใจ เติมพลังบวกให้เต็มหลอด ถ้อยคำที่เปลี่ยนวิธีคิดเพื่อให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น ก่อนจะกลับไปใช้ชีวิตในโลกจริงได้ตามจังหวะหัวใจ
วันนี้เราได้มีโอกาสเปิดบทสนทนากับ Vex King นักเขียนเจ้าของหนังสือขายดี ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุข (Good Vibes, Good Life), พลังแห่งการเยียวยาที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต (Healing Is The New High) และ เรื่องที่ไม่มีใครสอนเราเกี่ยวกับความรัก (Things No One Taught Us About Love) ที่บินตรงจากอังกฤษมาพบนักอ่านชาวไทยที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 53
“แฟนชาวไทยอบอุ่นมากครับ” Vex King ตอบเมื่อเราถามถึงความรู้สึกหลังจากที่ได้พบผู้อ่านชาวไทยในงานทอล์กและแจกลายเซ็นในวันนี้ “ครั้งนี้เป็นการมาเมืองไทยครั้งแรกของผม ผมมาเพราะแฟนๆ ชาวไทยมอบความรักและการสนับสนุนมากมายผ่านหนังสือเหล่านี้ ผมจึงอยากมาเพื่อตอบแทนพวกเขา และได้พบปะกับพวกเขาตรงหน้าครับ”
หนังสือของ Vex King เป็นเหมือนเพื่อนที่เข้าใจ นั่นเพราะการบอกเล่าเรื่องราวพลังบวกของเขาสัมพันธ์กับความเป็นจริงของชีวิตผู้คนบนโลก เขาเชื่อว่าการคิดบวกไม่ได้หมายถึงการมองโลกแบบไร้เดียงสา แต่ต้องเป็นการฝึกฝนจิตใจให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีสติและสร้างสรรค์ คติในการคิดบวกแบบ Vex King จึงมีความเป็นเหตุเป็นผล และเป็นพลังให้ผู้คนอยากลุกมาสร้างชีวิตที่เป็นสุขให้กับตัวเองบนโลกใบนี้
Law of Vibration กฎของการรักษาความถี่
ผู้คนมักคุ้นเคยกับคำว่า Law of Attraction หรือกฎแห่งแรงดึงดูด ที่บอกว่าสิ่งที่เราคิดถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกดึงดูดเข้ามาหาตัวเรา เขาก็เริ่มต้นความคิดถึงเรื่องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและคุณภาพจากกฎข้อนี้ แต่เมื่อศึกษาให้ลึกลงไป เขาพบอีกพลังงานหนึ่งที่สำคัญและสัมพันธ์กับผู้คน นั่นคือ Law of Vibration หรือกฎของการรักษาความถี่
“กฎของแรงดึงดูดเป็นเรื่องของการโฟกัสความคิด ส่วนกฎของการรักษาความถี่ นั่นคือ คุณจะดึงดูดพลังงานรอบตัวที่มีความถี่ตรงกับตัวตนของคุณ หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ผมจะอธิบายให้ฟังง่ายๆ ว่า ทุกสิ่งรอบตัวเราล้วนกำลังสั่นสะเทือนอยู่ในระดับความถี่ที่แตกต่างกัน ลองนึกภาพว่าถ้าคุณอยากฟังวิทยุคลื่นไหน คุณก็ต้องจูนวิทยุให้ตรงกับคลื่นความถี่นั้น”
“ชีวิตของเราก็เช่นกัน ทุกสิ่งที่เราปรารถนาต่างก็มีความถี่เป็นของตัวเอง และเราก็ต้องปรับตัวเองให้ตรงกับความถี่นั้นเพื่อดึงดูดสิ่งนั้นให้เข้ามาสู่ความเป็นจริงของเรา แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องปรับจูนตัวเองไปที่ความถี่ไหน? แท้จริงแล้ว สิ่งที่เราต้องการอาจไม่ใช่แค่วัตถุ แต่ยังเป็นเรื่องของความรู้สึก เช่นความตื่นเต้นจากการได้ซื้อรถคันใหม่ กฎนี้จึงเป็นกฎสากลที่ไม่ต้องอาศัยคำพูดหรือภาษาใดๆ เพราะเป็นเรื่องของพลังงาน แต่สิ่งที่เรามีส่วนร่วมด้วยนั่นคือ ความคิด คำพูด อารมณ์ และการกระทำของเรา”
King เล่าเรื่องราวการพบกับกฎของการรักษาความถี่ในหนังสือเล่มแรกของเขา ‘ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุข (Good Vibes, Good Life)’ ที่เขาบอกว่าเป็นเหมือนกับการบอกเล่ามุมมองกว้างๆ ของความคิดและความถี่ ก่อนจะลงลึกถึงเรื่องราวของการดูแลตัวเอง หรือ Self-Love ในหนังสืออีกสองเล่มถัดไป
ลงลึกถึงความรัก ที่ชวนทุกคนกลับมาดูแลหัวใจ
“จริงๆ แล้วทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด ผมเชื่อว่าถ้าคุณรักตัวเองอย่างแท้จริง คุณก็สามารถสร้างชีวิตที่คุณจะรักได้อย่างลึกซึ้งเช่นกัน ‘ความรัก’ เป็นหนึ่งในพลังงานที่มีแรงสั่นสะเทือนที่สุดในโลก และเมื่อคุณส่งพลังงานนี้ออกไป คุณก็จะได้รับพลังงานในแบบเดียวกันกลับมา”
“แต่การจะส่งมอบความรักอย่างแท้จริงได้ บางครั้งเราต้องผ่านกระบวนการเยียวยาตัวเองก่อน หนังสือเล่มแรกจึงเปรียบเสมือนการเล่าภาพรวมเป็นบทนำ ก่อนไปสู่หนังสือเล่มที่สอง ‘พลังแห่งการเยียวยาที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต (Healing Is The New High)’ ที่เป็นกระบวนการที่ช่วยรักษาบาดแผลทางอารมณ์จากอดีต และก้าวข้ามความเจ็บปวดของตัวเอง ก่อนมาสู่เล่มล่าสุด ‘เรื่องที่ไม่มีใครสอนเราเกี่ยวกับความรัก (Things No One Taught Us About Love)’ ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์ ที่เหมือนกับการเตือนเราว่า แท้จริงแล้ว ‘ความรัก’ คือธรรมชาติของเรา และอยู่ภายในตัวเราตลอดมา”
เราถาม King กลับไปถึงบริบทของไทยที่ว่า คนไทยไม่น้อยผูกพันกับความเชื่อทางจิตใจอย่างสายมูหรือโชคชะตา เขาตอบเรากลับในมุมมองของนักคิดได้อย่างน่าสนใจ
“ผมเชื่อว่า เราสามารถสร้างโชคชะตาของตัวเองได้ผ่านกฎแห่งการรักษาความถี่ หลายครั้งที่ผู้คนบอกว่า ‘คนนั้นโชคดีจัง’ จริงๆ แล้วอาจเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในตัวเอง พลังงานของเขาอยู่ในระดับสูง จึงสามารถสร้างโชคชะตาและกำหนดเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ รวมทั้งเป็นพลังงานที่เขาส่งต่อออกไปสู่ผู้คนที่รายรอบ”
นี่น่าจะเป็นพลังงานแบบเดียวที่เขาได้รับจากนักอ่านในเมืองไทยที่ได้พบปะในครั้งนี้ นอกจากตัวเลขของยอดขายที่บอกว่า หนังสือของเขาเป็นหนังสือขายดี และส่งต่อแนวคิดที่ดีต่อคนทั่วโลกแล้ว อีกเป้าหมายที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาคือ ‘หนังสือชุดนี้จะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้อย่างไร’
“ถ้าคุณสามารถช่วยใครสักคนได้ เพียงแค่หนึ่งคน นั่นก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแล้ว เพราะฉะนั้น ตัวชี้วัดความสำเร็จของผมคือการที่ผมสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเส้นทางการใช้ชีวิตของผู้คนให้เขาได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น มั่นใจในตัวเองมากขึ้น และสร้างชีวิตที่มีความสุขได้มากขึ้น”
ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกินไป สำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
“ผมคิดว่า ‘การรักตัวเอง’ เป็นแนวคิดที่สำคัญมาก แต่ในทางปฏิบัติมันไม่ง่ายเลย และอีกสิ่งที่ยากคือ ‘การปล่อยวาง’ หลายคนถูกบอกให้ปล่อยวาง แต่เอาเข้าจริงกลับทำไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าต้องทำยังไง”
คำแบบนามธรรมอาจทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเข้าใจยาก หรือพอกลับมามองในสถานการณ์ตรงหน้าแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร King ชวนมองในอีกมุมของความยากเหล่านี้ “จริงๆ แล้ว คำว่า ‘ปล่อยวาง’ อาจไม่ใช่คำที่ถูกต้องนัก เพราะฟังดูเหมือนต้องใช้ความพยายาม เราควร ‘ปล่อยให้มันเป็น’ มากกว่า ที่หมายถึง การสังเกต ยอมรับ และไม่ฝืน”
ส่วนสิ่งที่ง่ายที่สุดที่ทุกคนสามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ คือเรื่องของการดูแลตัวเองอย่างลึกซึ้ง อาจจะเป็นการไปสปา การนวด หรือฟังเพลง แค่นี้ก็ช่วยสร้างนิสัยในการดูแลรักษาตัวเองโดยเริ่มต้นจากเรื่องราวเล็กๆ ที่ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น
ในวันที่โลกใบที่สองของทุกคนอยู่ในโซเชียลมีเดีย ดูเหมือนว่าผู้คุมโชคชะตาของเราจะเป็นอัลกอริธึม สำหรับพวกเราแล้ว การเรียนรู้จะต้องอยู่กับโลกใบที่สองแห่งนี้ดูจะเป็นเรื่องยากเหลือเกิน King ให้คำแนะนำง่ายๆ ที่เริ่มต้นได้ที่ตัวเราเอง
“คุณอาจจะต้องเลือกอย่างระมัดระวัง เช่น การเลือกติดตามบัญชีหรือเนื้อหาที่สนใจ เพราะถ้าฟีดของเราเต็มไปเรื่องราวความรุนแรงหรือพลังลบ มันแทบจะเป็นการล้างสมองคุณไปโดยไม่รู้ตัว แล้วจะยิ่งส่งผลต่อร่างกายให้รู้สึกหนักอึ้งและหมดแรง”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดจึงเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่รายล้อมไปด้วยความรู้สึกในแบบที่คุณต้องการ หากอยากได้แรงบันดาลใจก็ฟอลแอคสร้างแรงบันดาลใจ อยากได้ความสุขหรือเสียงหัวเราะ ก็ฟอลเนื้อหาแบบที่ทำให้คุณมีความสุข ที่สำคัญคือการสร้าง ‘ขอบเขต’ ให้กับตัวเอง เพราะในยุคโชเชียลมีเดีย เราใช้เวลาบนหน้าจอโทรศัพท์มากเกินไป อาจทำให้เราหมดพลัง และหลุดออกจากช่วงเวลาของปัจจุบัน”
ในมุมมองของ King เขามองว่า โซเชียลมีเดียเป็นเพียงไฮไลต์ของชีวิต และหลายครั้งก็เป็นเพียงพื้นที่สำหรับแสดงในสิ่งที่ผู้คนอยากให้คนอื่นมองเห็น หลายครั้งที่เรามักเผลอเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้คนบนหน้าฟีด “หลายคนรู้สึกซึมเศร้าหรือไม่มีความสุข ผมจึงอยากให้จดจำไว้ว่า สิ่งที่เห็นบนออนไลน์อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด และใช้ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยให้เป็นประโยชน์ ปิดกั้นคำที่ไม่ต้องการ มิวต์บัญชี หรือจำกัดการมองเห็น และถ้าเป็นไปได้ ก็สามารถบล็อกคนที่ส่งผลลบต่อคุณได้เลย”
บทสนทนากับ Vex King บอกกับเราเป็นนัยๆ ว่า อย่าหลงลืมการดูแลรักษาจิตใจของตัวเอง อย่าไปคิดว่าการรักและดูแลตัวเองเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว แต่เป็นการพัฒนาตัวเองในทางบวก ก็ย่อมส่งความถี่บวกไปยังผู้คนรอบตัว
และเขาก็หวังว่า หนังสือชุดนี้จะเป็นหนึ่งในผู้ช่วยสำหรับคนที่ต้องการพัฒนาตัวเอง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน