“ทาเจิ๊ตเอ๋ยเจิ๊ต อาเนิดแอเฮยบองคลูนยาก”
เพลงเศร้าสำเนียงภาษาแขมร์จากวงร็อคกันตรึมจากอีสานใต้ นามร็อคคงคย ที่ผมไม่คาดคิดว่าวงนี้จะเล่นในเวทีหลักใน งาน Wonderfruit 2018 ผมไม่รู้ว่าเพราะกระแสตีกลับที่หมอลำกลายเป็นเพลงอินดี้ และเพลงอินดี้คล้ายจะเป็นเพลงป๊อบหรือเปล่า ที่ทำให้พวกเขาขึ้นมาอยู่บนเวทีเดียวกับ Goldie and The Ensemble และ Nightmare on wax
ผมเดินทางมาถึงงานในเย็นวันศุกร์ ขณะกางเต๊นท์ได้ยินเสียงเพลง Lover boy ของหนุ่มน้อย ภูมิ วิภูริศ ที่ผมอยากมาดูเขาสดๆ เสียทีแต่กว่าจะมาถึงงานขับรถหลงทางวนเข้ามอเตอร์เวย์ไปหนึ่งรอบจนเกือบขับแล่นกลับกรุงเทพฯ แบบเหวอๆ ไป กว่าจะกางเต็นท์เสร็จก็เกือบสองทุ่มแล้ว ทำให้ผมตัดสินใจเดินตามหา So’ley ศิลปินสาวจากไอร์แลนด์ที่ Theatre Stage แทน แต่มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะสถานที่จัดปีนี้ใหญ่กว่าครั้งที่แล้วมาก ผมเดินวนหาจนรอบงาน และได้ฟังเธอเล่นเป็นเพลงสุดท้ายแบบงงๆ
และวงที่ผมรอมาตลอดอย่าง ร็อคคงคย ก็ขึ้นเล่นในอีกครึ่งชั่วโมงที่เวที Living Stage พวกเขามาแบบผมไม่คาดคิดว่าจะมาเล่นในงานนี้ เพลงกันตรึมอีสานใต้ ที่ไม่แมสเท่าไหร่ในหมู่ฮิปสเตอร์ เพราะถ้านึกถึงอีสานหลายคนอาจนึกถึงภาษาลาวฝั่งแม่น้ำโขง แต่ภาษาแขมร์กลับไม่มีคนพูดถึงเมื่อนึกถึงภาคอีสาน
จากเพลงแรกในอัลบั้มใหม่ของพวกเขา อย่างกระจอกแท้ ที่เล่าเรื่องราวของไทบ้านกระจอกๆ แล้วตามด้วยเพลงฮิตตลอดกาลของวงอย่าง เจิ๊ดเอ๋ยเจิ๊ด ที่ทำให้ผมร้องตามได้แค่ท่อนเดียว ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์และความเมามายไทย ฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน เต้นกันฝุ่นตลบ แม้พื้นจะไม่เรียบจนตัวผมขาพลิกลงไปกลิ้งหนึ่งรอบแล้วลุกขึ้นมาเต้นต่อได้อยู่ดี
และปิดท้ายของคืนแรกของผม จบที่ Fleetmac wood สองดีเจ ที่เอาเพลงของ Fleetwood mac ตีความใหม่ให้ผมได้เต้น และร้องตามได้ ไปกลับเพลงคุ้นหูไม่ว่าจะ Go your Own way , Dream , The chian แบบว่าเต้นกันจนเหงื่อท่วม จนต้องถอดเสื้อเต้นกันจนเที่ยงคืน แม้ใจจะอยากไปเต้นต่อที่ The Quarry แต่ข้อเท้าที่พลิกเริ่มแสดงอาการ จนต้องลากสังขารกลับไปนอนทำใจไว้ลุยใหม่ในวันเสาร์ เพราะผมอยากเห็นกิจกรรมยามเช้าของงาน
สายวันเสาร์ผมอยากได้ภาพคนเล่นโยคะ นั่งสมาธิที่ Wonder Garden ใจจริงอยากจะไปแจมด้วย แต่สภาพร่างกายผมไม่พร้อมเลยสักนิดเดียว เลยทำได้แค่เก็บภาพบรรยากาศ หลายคนอาจจะเข้าใจว่าการนั่งสมาธิเป็นการปฏิบัติธรรมตามอย่างที่ผมเรียนมาในวิชาพุทธศาสนา แต่เอาจริงแล้วการนั่งสมาธิอาจไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับศาสนาก็ได้ แต่เป็นการฝึกให้ผมนิ่งแล้วทบทวนตัวเองก็ได้ เป็นการพัฒนาตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเห็นดวงแก้วสุกสว่าง หรือพบเจออะไรแต่เป็นการอยู่กับภายในของผม
หลังจากเดินเปื่อยๆ ช่วงสาย ผมก็รอเวลาได้เรียนกับเชฟแบล็ก จากร้าน Blackitch Artisan Kitchen เพราะเป็นเวิร์คช็อปที่สนใจที่สุดในงาน เรื่องของหมักอย่างคอมบูชะ ข้าวหมากจนถึงการทำซอสรสชาติของตัวเอง ที่สำคัญคือฟรีแถมได้ของกลับบ้านติดไม้ติดมือด้วย (เอาว่าแค่นี้ก็คุ้มแล้ว)
กว่าจะเวิร์คช็อปก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว ผมจึงเลือกดูโชว์ควงกระบองไฟที่อลังการงานสร้าง จนเจ้าหน้าที่ต้องรีบเดินบอกคนดูให้ถอยห่างออกจากบริเวณโชว์ เพราะสะเก็ดไฟแม่งกระเด็นใส่แน่นอน ซึ่งผมก็โดนไปทีแต่เสื้อไม่ไหม้ โชว์กว่า 30 นาที เป็นการฆ่าเวลาที่ดีสำหรับผม ที่เฝ้ารอดูวงออทิดสาและอาจารย์ดาว บ้านดอน ที่เวทีหมอลำบัส ใครจะไปเชื่อว่าตำนานหมอลำอย่างดาวบ้านดอนในวัย 71 จะมาเล่นให้ผมดูกัน
20:30 น. ออทิดสา ขึ้นมาบรรเลงอย่างเมามันคล้ายดูวงโพสต์ร็อค ก่อนหมอลำหนุ่มสาวประจำวงจะมาร้องลำเพลงฮิตให้ฮิปสเตอร์และฝรั่งเต้นกันยับ ลากยาวๆ จนสี่ทุ่มเวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง อาจารย์ดาวบ้านดอน แม้จะไม่สบาย ยืนไม่ไหวต้องเกาะซินธิไซเซอร์ไว้ไม่ให้ตัวเองล้ม แต่ด้วยสปิริตของรุ่นใหญ่เขาไม่ทำให้ใครผิดหวัง เปิดด้วยเพลงฮิตอย่างคนขี่หลังควาย ที่ใครต่างก็ร้องตามได้ และข้างล่างเวทีมีตุ๊กกี้ และคณะมาเป็นหางเครื่องพาทุกคนออกสเต็ปจนเหงื่อแตกผลักเต้นต่อไม่ไหวข้อเท้ายังไม่หายดี
ผมเดินออกจากวงหมอลำมาหาที่นั่งพัก และฟังเพลงที่ Theatre Stage เพราะสนามหญ้าและเนินทำให้ผมนอนดูได้แบบสบายๆ โดยมีศิลปินจากฝรั่งเศส Kangding Ray เปิดเพลงอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ ต้องบอกเลยว่าเพลงโคตรดี จากบีทเนิบนาบและซาวด์ดีไซน์แบบผ่อนคลาย บีทเริ่มขึ้นเรื่อยๆ จากที่ทุกคนนอนกันชิลๆ ก็วิ่งเข้าไปเต้นกันที่หน้าเวทีเหมือนดังปี่ฮาเมลินที่เย้ายวนเด็กในหมู่บ้าน ให้ตามเขาไปปลดปล่อย ทุกคนตรงนั้นโดนเขาควบคุมการเต้นของหัวใจหมดแล้ว จากต้นจนจบเขาพาฝูงชนเดินทางอย่างปลอดภัยเหมือนกัปตันยานอวกาศ เขาจากไปพร้อมกับแสงไฟบนเวที แล้วผู้คนก็ต่างแยกย้ายกันไปหาเวทีอื่นกันหมด ผมตัดสินใจจะไปเต้นต่อที่ The Quarry แต่ยืนได้ไม่นานก็ทนแสงไฟและเพลงเทคโนไม่ไหว เพราะหัวใจผมเต้นตามไม่ทันส่วนคนอื่นที่ตามทันก็ต้องไปถามแล้วว่าเขาทำกันยังไง
เมื่อผมหาที่ที่เหมาะสมกับตัวเองไม่ได้แล้วในคืนนั้น จึงตัดสินใจกลับเต็นท์ เก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับในเช้าวันอาทิตย์ และเสียดายมากที่ไม่ได้อยู่ต่อจนจบงานเพราะไลน์อัพวันอาทิตย์มีศิลปินที่น่าสนใจอีกเยอะ จนอยากลางาน…
Wonderfruit 2018 เป็นอีกปีที่งานนี้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเรื่องความสนุก และแนวทางการจัดงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยผมไม่เห็นขยะพลาสติกเลยสักชิ้น (ยกเว้นถุงขยะ) ที่ผู้คนในงานให้ความร่วมมือกัน ทำให้งานนี้น่าจดจำและสนุกที่สุดในปี 2018 จนอดทนไม่ไหวอยากใช้ #Wonderfruit2019 แล้ว
และที่สำคัญผู้จัดงานก็เป็นห่วงเป็นใย wonderer ทุกคน โดยเฉพาะในคู่มือการชมสิ่งที่ควรทำในข้อ 3 ที่บอกว่า “ดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ โดยเรามีจุดบริการเติมน้ำดื่มฟรีให้คุณภายในงาน” ต้องบอกเลยว่าเขาใส่ใจทุกคนจริงๆ