ยังไม่ถึง 48 ชม. หลังผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการปรากฏ ว่าพรรคก้าวไกลเป็นผู้ได้รับเสียงข้างมาก ประเทศไทยก็ดูจะไม่เหมือนเดิมตามสโลแกนหาเสียงของพรรคเสียแล้ว ด้วยท่าทีของประชาชนทั้งที่สมใจ และผิดหวัง รวมถึงการจับขั้วทางการเมืองที่ประชาชนเฝ้าจับตา
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่บทสรุปว่าแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกล อย่างพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะได้ครองเก้านี้ เพราะยังต้องผ่านขั้นตอนการโหวต ซึ่งมีตัวแปรสำคัญ คือ สมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. ถึงทำให้ความคิดเห็นของ สว. บางคนเพียงสั้นๆ ส่งให้แฮชแท็ก #สวมีไว้ทำไม ติดอันดับในทวิตเตอร์
ส.ว. ควรมีจุดยืนอย่างไร ? The MATTER มีโอกาสพูดคุยกับ อ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ. ถึงความคิดเห็นต่อท่าทีของ ส.ว. ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
1 ประชาชนเลือกนายกฯ ผ่านการเลือก ส.ส.
อ.ปริญญา เริ่มต้นอธิบายถึงระบบรัฐสภาที่มี 2 สภา ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ที่ให้อำนาจประชาชนเลือกนายกฯ ผ่านทางการเลือก ส.ส. หลังจากนั้น สส. จึงจะไปเลือกนายกฯ แทนประชาชนตามที่เขาได้หาเสียงไว้ “ส.ว. ในระบบที่มี 2 สภา ไม่มี ส.ว. ประเทศไหนหรอกครับที่มีอำนาจในการเลือกนายกฯ ไม่มี ”
“สมัยก่อนเขาสืบทอดอำนาจ เขาให้ประธานรัฐสภาเป็นคนทูลเกล้าฯ และไม่มีการโหวตในสภา เลือกตั้งเสร็จก็เป็นหน้าที่ประธานวุฒิสภาไปทูลเล้าฯ พรรคการเมืองอยากเป็นรัฐบาลก็ต้องรวมเสียงข้างมากมาขอ แต่ตอนนี้ประธานรัฐสภา คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว วิธีการสืบทอดอำนาจสมัยนี้ถึงได้ให้มาโหวตกับ ส.ส. ด้วย ซึ่งไม่เคยมีในประวัติศาสตร์การเมืองไทย”
อย่างที่ทราบกันว่ากลไกดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นมาก็เพื่อการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดังที่เห็นผลลัพธ์การโหวตอย่างเป็นเอกฉันท์ของ ส.ว. ในการโหวตเลือกนายกฯ จากการเลือกตั้งครั้งก่อน
ตามความเห็นของ อ.ปริญญา มองว่า เมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าพรรคพลังประชารัฐ ก็มีความจำเป็นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องถอยให้ และไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะเดินหน้าต่อหรือไม่ แต่กลไกที่ว่าเสียงข้างมากของ ส.ส. ยังไม่สามารถเลือกนายกฯ ได้ก็จะยังคงอยู่ต่อไปในประเทศไทย
2 ส.ว. ควรแสดงจุดยืนอย่างไร?
หลังพิธาประกาศพร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยระบุว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับอีก 5 พรรคการเมือง จนสามารถรวมเสียงได้ 310 เสียงแล้วนั้น อ.ปริญญา มองว่า หากเป็นการเมืองตามกลไกปกติ เสียงคะแนนเพียงเท่านี้เพียงพอแล้วที่จะจัดตั้งรัฐบาล “ปกติ 310 เสียง จาก 500 เกินครึ่งมาตั้งเยอะ เหลือหลายที่จะตั้งรัฐบาล”
แต่เมื่อโจทย์ต่างออกไป แคนดิเดตฯ พรรคก้าวไกล จำเป็นต้องหาคะแนนเพิ่ม 66 เสียง ทุกสายตาจึงหันไปจับจ้อง ส.ว. “ส.ว. จำนวนมากก็จะตอบว่า ขอดูก่อนว่าเป็นใคร เรียกว่าไม่ได้สนใจเสียงประชาชน จะถือว่าตัวเองมีสิทธิ มีอำนาจ อีกกลุ่ม ของดออกเสียง ปล่อยให้เป็นเรื่องของ ส.ส. แต่นี่ก็ผิด เพราะการงดออกเสียงทำให้เขาตั้งรัฐบาลไม่ได้ ส.ว. งดออกเสียงเป็นเรื่องไม่ได้ช่วยอะไรเลย วิธีการช่วย คือ เมื่อรัฐบาลตั้งโดยเสียงข้างมากแล้ว ส.ว. ก็ควรโหวตตามนั้น”
“ส.ว. ท่านที่มีความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองให้ท่านคิดอย่างนี้ บทบาทของท่านจะพึงมีในกรณีที่สภาผู้แทนเขารวมเสียงเกินครึ่งไม่ได้ แต่ในเมื่อเขารวมได้ตามระบบรัฐสภาเขาเป็นรัฐบาลได้แล้ว ส.ว. ก็ควรจะเห็นชอบ”
ทั้งนี้ หาก ส.ว. งดออกเสียงจนไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็นับเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคขั้วรัฐบาลเดิมที่เกี่ยวข้องกับที่มาของ ส.ว. นั่นคือ พรรคพลังประชารัฐ ตามความเห็นของอ.ปริญญา สามารถเข้ามาเป็นตัวแปรต่อการเมืองในอีก 4 ปีข้างหน้า
ดังนั้น ในวันที่รัฐธรรมนูญยังคงใช้บทเฉพาะกาลที่ให้อำนาจ ส.ว. โหวตเลือกนายกฯ อยู่ โจทย์ของพรรคก้าวไกลจึงอยู่ที่การรวบรวมอีก 66 เสียง เพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลให้ได้