ถึงจะไม่ค่อยมีเวลา แต่อย่างน้อยนัดมาอัปเดตชีวิตกับเพื่อนบ้างก็ยังดี
ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าได้เจอเพื่อนน้อยลงทุกที จากที่เคยใช้เวลาอยู่ด้วยกันแทบทุกวันสมัยเรียน ไม่ต้องพูดอะไรก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกยังไง แต่พอต้องแยกย้ายไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง เราก็แทบไม่รู้เลยว่าเพื่อนสนิทของเราเปลี่ยนไปมากขนาดไหนแล้ว
การนัดเจอกันเพื่ออัปเดตความเป็นไป หรือ Catch-up friendship เลยเป็นวิธีการหนึ่งสำหรับรักษามิตรภาพเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แทนที่จะใช้เวลาพูดเรื่องสัพเพเหระเหมือนเมื่อก่อน เราอาจเจาะจงลงตารางในปฏิทินไว้อย่างดิบดี หัวข้อที่คุยกันก็เป็นเรื่องชีวิตความเป็นไปในช่วงนี้โดยเฉพาะ อย่างการนัดกินข้าวส่งท้ายปี เพื่ออัปเดตว่าที่ผ่านมาเจออะไรกันบ้าง หรืออาจจริงจังไปถึงขั้นแชร์สไลด์สรุปชีวิตที่ผ่านมาทั้งปี เพื่อให้เพื่อนในกลุ่มไม่พลาดเหตุการณ์สำคัญของเรา แม้จะอยู่ห่างไกลกันก็ตาม
อะไรที่ทำให้หน้าตาของมิตรภาพในวัยผู้ใหญ่ของเราเปลี่ยนไป แล้วจะกระชับความสัมพันธ์จากการอัปเดตชีวิตได้ยังไงบ้าง ชวนมาสำรวจมุมมองของความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปพร้อมกับช่วงอายุนี้กัน

Catch-up friendship หน้าตามิตรภาพของผู้ใหญ่ในยุคสมัยใหม่
พอวัยผู้ใหญ่การจะได้เจอเพื่อนสักคนอาจต้องใช้พลังงานมากกว่าที่คิด ไหนจะเรื่องงานทำให้เวลาไม่ตรงกัน พอมีเวลาว่างก็ต้องแบ่งไปให้ครอบครัว หรืออาจต้องโฟกัสกับเป้าหมายของตัวเองจนไม่เหลือพื้นที่ให้กับกิจกรรมอื่น เพราะอย่างนี้เวลานัดเจอเพื่อนทุกๆ 2-3 เดือนหรือตามวาระพิเศษ เราเลยอยากทราบข่าวคราวของเพื่อนให้ครบทุกเรื่อง
หลายครั้งการ catch up หรือตามเรื่องราวความเป็นไปของเพื่อนให้ทัน จึงมักเป็นการถามไถ่เรื่องราวในชีวิต ซึ่งหัวข้อก็คงหนีไม่พ้นเรื่องงาน ความรัก หรือครอบครัว เช่น ทำงานที่ไหน เลื่อนตำแหน่งหรือเปล่า คบกับแฟนอยู่ไหม แต่งงานเมื่อไหร่ ลูกกี่ขวบแล้ว เดินได้หรือยัง ฯลฯ สารพัดคำถามไม่ต่างจากวันรวมญาติ เพื่อให้เราสบายใจว่ามิตรภาพระหว่างเรายังโอเคดีเหมือนเดิมอยู่
การขยับไปพูดถึงเรื่องจริงจังในชีวิต ไม่ได้เมาท์แซ่บเหมือนในอดีต หรือพูดคุยเรื่องชาวบ้านเหมือนก่อน อาจเป็นเพราะว่าเราห่างไกลกันมากขึ้น ไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมกับเพื่อนเหมือนเดิมอีกแล้ว โซฟี มอร์ท (Sophie Mort) นักจิตวิทยาคลินิกและผู้เชี่ยวชาญสุขภาพจิตจาก Headspace อธิบายว่าการไม่มีกิจกรรมหรือประสบการณ์ร่วมเพื่อนๆ ก็อาจทำให้มีเรื่องที่พูดถึงร่วมกันน้อยลง บทสนทนาตอนเจอกัน จึงต้องโฟกัสไปที่การอัปเดตชีวิตส่วนตัวมากกว่าความสนใจหรือกิจกรรมที่ทำร่วมกัน
ไม่เพียงแต่อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้หน้าตาของความสัมพันธ์เปลี่ยนไปเท่านั้น แต่โซเชียลมีเดียก็มีส่วนทำให้มิตรภาพของเราต่างไปจากเดิม เพราะการได้เห็นชีวิตของเพื่อนผ่านโพสต์หรือสตอรี่ในอินสตาแกรมทำให้เราเข้าใจว่าเรากำลังเห็นการเติบโตของเพื่อนไปด้วย ทั้งที่จริงอาจเป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของอีกฝ่ายที่ตั้งใจเลือกที่จะโชว์ให้เราเห็น ภาพเหล่านี้อาจทำให้เราลืมถามไถ่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่ายไป จนเหลือเพียงแต่หัวข้อใหญ่ๆ ที่ดูไม่หวือหวาเท่านั้น
หลายคนอาจคิดว่าโซเชียลมีเดียช่วยให้เรารู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ที่จริงแล้วอาจไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป มีการสำรวจจาก The Survey Center on American Life ในปี 2024 ได้สอบถามผู้ใช้โซเชียลมีเดียว่าพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนทางออนไลน์บ่อยแค่ไหน ปรากฏว่าคนจำนวนมากแทบไม่ได้ใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อเชื่อมต่อกับคนที่รู้จักเลย มีเพียง 46% เท่านั้นที่บอกว่าตัวเองติดต่อเพื่อนสนิทบ่อยๆ
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าทั้งวัยที่เปลี่ยนไปและการเห็นชีวิตของอีกฝ่ายแบบผิวเผินบนอินเทอร์เน็ต ล้วนแต่มีส่วนทำให้การนัดเจอกันเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเราและเพื่อนเปลี่ยนไป จากที่เมื่อก่อนเรากับเพื่อนมีแต่ความทรงจำสนุกสนาน พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยไม่ว่าจะเป็นเรื่องความฝัน ความหวัง หรือหัวเราะไปกับมุกตลกไร้สาระ แต่ในวันที่โตขึ้นเราก็อาจเปลี่ยนมาเป็นพูดคุยเรื่องสำคัญๆ ที่ต้องเผชิญเหมือนกันแทน
แม้ด้านหนึ่งอาจดูเหมือนว่าเราและเพื่อนห่างเหิน ไม่ได้พูดคุยลงลึกไปถึงรายละเอียดแบบเมื่อก่อน แต่อย่างน้อยคำถามใหญ่ๆ เหล่านี้ก็ช่วยยึดเหนี่ยวความสัมพันธ์ของเราเอาไว้ด้วยกัน ในวันที่เพื่อนใหม่หาได้น้อยลงทุกที

นานๆ เจอกันที แต่สนิทเหมือนเดิม
แม้การรักษามิตรภาพจะไม่ใช่เรื่องง่ายในวันที่มีภาระมากมาย แต่การเจอเพื่อนในวัยผู้ใหญ่ก็ยังช่วยให้สุขภาพจิตและความเป็นอยู่ของเราดีขึ้นได้จริง ข้อมูลจาก American Psychological Association ชี้ว่ามิตรภาพที่คอยสนับสนุนและเป็นเพื่อนคู่คิดช่วยให้เรามีความสุขในชีวิตเพิ่มขึ้น แถมยังสามารถป้องกันปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล
ดังนั้นใครที่กำลังรู้สึกเหนื่อยล้าจากโลกของการเป็นผู้ใหญ่ อย่าเพิ่งท้อแท้ไปก่อน เพราะการนัดเจอเพื่อนเพื่อรีวิวชีวิตของตัวเองสั้นๆ ก็มีข้อดีเหมือนกัน เผื่อว่าจะช่วยกันหาทางออก หรืออย่างน้อยก็อาจทำให้เรารู้สึกสบายใจที่ไม่ได้เจอปัญหานี้อยู่เพียงคนเดียว
อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ที่แข็งแรง ก็ไม่ได้อยู่ที่ความถี่ที่เรามาพบปะกัน แต่ยังรวมถึงคุณภาพของช่วงเวลาที่เราใช้ร่วมกันด้วย บางทีการอัปเดตชีวิตกันและกันอาจไม่ใช่เพียงแค่การพูดเรื่องของตัวเองว่าทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ให้จบไปเท่านั้น เราอาจจะลองใส่เรื่องราวที่ไม่เคยแชร์ให้คนอื่นบนโลกโซเชียลเพิ่มอีกหน่อย หรือลองถามไถ่เพื่อนนอกเหนือไปจากชีวิตทั่วๆ ไปบ้าง เพื่อเราเข้าใจกันแบบลึกซึ้งเหมือนที่ผ่านมา
นาโอมิ แม็กนัส (Naomi Magnus) นักจิตบำบัดจาก North London Therapy ได้ให้คำแนะนำสำหรับการนัดเจอเพื่อนครั้งหน้าไว้ว่า อาจเริ่มด้วยการถามไถ่ถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้มากขึ้น เช่น หลังจากที่เพื่อนอัปเดตเรื่องในชีวิตไปแล้ว เราอาจจะลองถามต่อว่าแล้วเขารู้สึกยังไง คิดยังไงกับเหตุการณ์นั้น ช่วงนี้กังวลเรื่องอะไร หรือชอบทำอะไรอยู่บ้าง ซึ่งจะช่วยลดคำถามทั่วไปให้น้อยลง อาจจะลองต่อยอดจากบทสนทนาเก่าๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราจำและใส่ใจสิ่งที่เคยคุยกันได้นะ
ที่สำคัญอย่าลืมตั้งใจฟังจริงๆ และลองแบ่งปันความรู้สึกของตัวเองออกไปบ้าง เพราะส่วนใหญ่ช่วงเวลาที่เรากับเพื่อนได้มาเจอกัน มักเป็นช่วงที่ผ่านความยากลำบากไปแล้ว ทำให้หลายครั้งเรามักจะพูดถึงเรื่องสำคัญๆ ในด้านที่ดี ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ หรือความก้าวหน้า แถมยังอาจคิดว่าไม่ควรโยนปัญหาหนักอกหนักใจไประบายกับเพื่อน แล้วเลือกเก็บเรื่องไม่ดีไว้กับตัวคนเดียว
แต่ที่จริงเรื่องเปราะบาง ทั้งความไม่มั่นใจ ความกลัว หรือความโกรธ ก็ควรค่าแก่การพูดถึงเหมือนกันนะ ลองคิดดูสิว่าถ้าเราได้รู้ว่ากว่าที่เพื่อนจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ ต้องใช้ทั้งความพยายามและความอดทน เราคงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมออกไปจากใจจริง แถมยังทำให้ความสัมพันธ์นี้ยังมีคุณค่ามากขึ้น เพราะเราได้อยู่เคียงข้าง ไม่ใช่เพียงแค่คนที่นัดมาเจอเพื่อพูดคุยแต่เรื่องความสำเร็จเท่านั้นด้วย
ไม่ว่ายังไงเพื่อนก็ยังเป็นอีกหนึ่งความสบายใจและความปลอดภัยทางอารมณ์ เพราะเป็นคนที่เข้าใจและรู้จักตัวตนเราตั้งแต่อดีต จนถึงเวอร์ชั่นปัจจุบัน การมีเพื่อนอยู่ข้างๆ ก็ช่วยให้เราสามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งขึ้นได้
ถึงแม้จะเจอเรื่องเลวร้ายมาทั้งปี แต่อย่างน้อยแค่ได้เจอเพื่อน พร้อมประโยคสั้นๆ ‘ว่าไง เป็นไงบ้าง’ ก็ช่วยให้เรายิ้มได้แล้ว
อ้างอิงจาก