ข่าวร้ายของโรงภาพยนตร์มาเยือนอีกรอบ หลังจากเมื่อศุกร์ที่แล้ว หนังบล็อกบัสเตอร์ภาคต่อเรื่องดัง “เจมส์ บอนด์ 007, No Time To Die” ประกาศเลื่อนเข้าฉาย จากเดิมกำหนดในเดือนพฤศจิกายน ย้ายไปเดือนเมษายน 2021 – ด้วยสถานการณ์ COVID-19 ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ยังไม่มีแนวโน้มจะดีขึ้น และหนังไม่น่าจะทำรายได้ได้ตามเป้าหากยังลงจอในเดือนหน้านี้
มันกลายเป็นการปิดประตูทางรอดของโรงภาพยนตร์หลายโรงทั่วโลก เพราะนับตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะครึ่งปีที่ผ่านมา หนังใหญ่หลายเรื่องที่จะเป็นแม่เหล็กดูดผู้ชมให้ตบเท้าเข้าโรง ถูกเลื่อนฉายออกไปไม่มีกำหนด เนื่องจากผู้สร้างทั้งหลายมองว่าไม่น่าจะคุ้มทุนอย่างแน่นอน
ทำให้ในตอนนี้ โรงหนังเชนดังของโลกหลายเจ้า ชะตาชีวิตตั้งอยู่บนความเสี่ยงอย่างยิ่ง
หลังจากการประกาศเลื่อนเข้าโรงของภาพยนตร์บอนด์ 007 ทำให้ Cineworld ประกาศปิดโรงหนังเครือ Regal ในสหรัฐฯ 536 โรง และ โรงหนัง Cineworld และ Picturehouse 127 โรงในอังกฤษ ชั่วคราว เริ่มในวันที่ 8 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป
โดย เดอะ การ์เดี้ยน รายงานว่า การประกาศปิดรอบที่ 2 นี้ (หลังจากที่เพิ่งกลับมาเปิดไปเมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา) จะนำมาซึ่งผลกระทบต่อพนักงานมากถึง 4 หมื่นคนในสหรัฐฯ และอีกกว่า 5,500 คนในอังกฤษ
“เราเหมือนซูเปอร์มาเก็ตที่ไม่มีผัก ผลไม้ แม้กระทั่งเนื้อสัตว์วางขาย เราทำธุรกิจไม่ได้ถ้าไม่มีสินค้าให้วางขาย” มุกกี เกรดิงเจอร์ ซีอีโอของ Cineworld ให้สัมภาษณ์ถึงความหนักใจกับเดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล
ในปีนี้ เครือ Cineworld เสียรายได้ไปกว่า 1.6 ล้านเหรียญสหรัฐในครั้งปีแรกของปี 2020 ขณะเดียวกัน โรงภาพยนตร์เครือ AMC ซึ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ตอนนี้ก็ยังปิดสาขาไปเกือบครึ่ง จากปกติ 6,000 สาขา ตอนนี้เหลือเพียง 3,400 สาขาทั่วประเทศเท่านั้น
แต่ที่น่ากังวลที่สุดคือโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก ซึ่งสายป่านธุรกิจสั้นกว่า หลายรายประกาศลดชั่วโมงให้บริการ หรือปิดให้บริการชั่วคราว ซึ่งราว 2 ใน 3 ของโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กในอเมริกา เสี่ยงล้มละลายหรือปิดกิจการตลอดกาล หากยังไม่สามารถเรียกคนดูเข้าโรงได้
ในปีนี้ มีเพียงภาพยนตร์ ‘Tenet’ เท่านั้น ที่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่เข้าฉาย ซึ่งแม้จะทุ่มทุนฉายไปถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นหนังโรงอันดับหนึ่ง 4 สัปดาห์ซ้อน แต่ก็ทำรายได้ในเดือนแรกได้เพียง 40 ล้านเหรียญฯ ทั่วประเทศเท่านั้น เนื่องจากคนยังกลัวการระบาดของ COVID-19 ส่วนภาพยนตร์ ‘มู่หลาน’ จากดิสนีย์ ก็ไม่ได้รับความนิยมจากคนดู เหตุจากดราม่านักแสดง และทางดิสนีย์ ก็ยังเสนอทางเลือกให้ผู้ชมด้วยการลงขายบนสตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม Disney+ ด้วย
ส่วนสถานการณ์โรงภาพยนตร์ไทย ตัวเลขเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2020 ระบุว่า ภาพยนตร์ Tenet คือภาพยนตร์ที่ทำรายได้ได้มากที่สุดที่ 24.5 ล้านบาท ตามมาด้วย The New Mutants ที่ 6.5 ล้านบาท (ทั้งสองเรื่องเข้าฉาย 27 สิงหาคม) ซึ่งไม่มีภาพยนตร์ไทยเรื่องใดติดอันดับภาพยนตร์ยอดนิยมเลย แม้ก่อนหน้านั้น ‘วิชา พูลวรลักษณ์’ ประธานกรรมการบริหารเมเจอร์ ซีพีเพล็กซ์ กรุ๊ป จะกล่าวบนเวทีเสวนา “เมื่อหนังไทยติดโควิด-19” ว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนหนังไทยคิดเป็น 30% ของภาพยนตร์ทั้งหมดที่เข้าฉายเท่านั้น ซึ่ง COVID-19 อาจเปิดช่องให้หนังไทยลืมตาอ้าปากได้ ขณะที่หนังฮอลลีวู้ดเข้าสู่ตลาดโลกยาก
ปีนี้ถือเป็นปีที่ยากลำบากของทุกอุตสาหกรรมทั่วโลก อย่างไรก็ตาม บรรดาโรงภาพยนตร์ยังมี 2 เดือนสุดท้ายของปี ให้พนันความอยู่รอดอยู่ เพราะภาพยนตร์จากค่ายใหญ่หลายเรื่องยังไม่มีประกาศเลื่อนฉาย ไม่ว่าจะเป็น ‘Soul’ จากดิสนีย์, ‘The Croods: A New Age’ จากค่ายยูนิเวอร์แซลพิกเจอร์ส ที่เตรียมเข้าฉายในกลางเดือนพฤศจิกายน และ ‘Dune’ กับ ‘Wonder Woman 1984.’ จากค่ายวอร์นเนอร์บราเธอร์ ที่จะเข้าฉายในธันวาคมปีนี้
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://workpointtoday.com/thai-movies-covid-19/
https://www.theverge.com/2020/10/5/21501986/regal-cineworld-picturehouse-closing-theaters-october-8
#Brief #TheMATTER