แม้ว่าสัปดาห์ผ่านมา จะมีข่าวใหญ่ในการเมืองสหรัฐฯ กับการติดเชื้อไวรัส COVID-19 ของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และสุภาพสตรีหมายเลข 1 แต่ถึงอย่างนั้น แผนการหาเสียงเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 1 เดือนก็ต้องดำเนินต่อไป โดยวันนี้เป็นคิวของการดีเบตของแคนดิเดตรองประธานาธิบดีทั้งสองพรรค ระหว่างคามาลา แฮร์ริส วุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย จากพรรคเดโมแครต และไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันจากรีพับลิกัน
การดีเบตครั้งนี้ใช้เวลา 90 นาทีเหมือนกับดีเบตแรกของประธานาธิบดี โดยผู้ดำเนินรายการในครั้งนี้ คือ ซูซาน เพจ จาก USA today แต่ความแตกต่างของการดีเบตในครั้งนี้ คือการมีแผ่นอะคริลิกใสกั้นบนโต๊ะของสองผู้สมัครและผู้ดำเนินรายการ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะชี้ว่าแผงกั้นนี้ไม่ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดผ่านทางอากาศได้
‘การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19‘
ในการดีเบตครั้งนี้ มีการพูดคุยถึงประเด็นที่หลากหลาย โดยประเด็นแรกคือ ‘การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19’ ซึ่งแฮร์ริส ได้เปิดประเด็นนี้ถึงการจัดการที่ล้มเหลวของ ปธน. ซึ่งเธอชี้ว่า ทรัมป์ และเพนซ์ ได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น แต่ปกปิดความจริงต่อประชาชน “คนอเมริกันได้เห็นว่าอะไรคือความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของการบริหารประเทศของประธานาธิบดีในประวัติศาสตร์ของประเทศเรา” เธอกล่าว
ด้านเพนซ์เองก็กล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ ได้ทำสิ่งที่ไม่เคยมี ปธน.คนไหนทำ โดยการยับยั้งเที่ยวบินจากจีน ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก ทั้งยังชี้ว่า เขาได้เห็นแผนของไบเดนแล้ว และคิดว่าไบเดนได้ลอกแผนของทรัมป์
เศรษฐกิจ
ประเด็นของเศรษฐกิจเอง แฮร์ริสชี้ว่า สิ่งที่ทรัมป์อ้างว่าประสบความสำเร็จด้านเศรษฐกิจนั้น เป็นการวัดความสำเร็จจากกลุ่มเศรษฐีที่ร่ำรวยเท่านั้น และห่างไกลจากความเป็นจริง ขณะที่เพนซ์กล่าวว่า ไบเดนจะขึ้นภาษี และยกเลิกการลดภาษีของทรัมป์
“ด้วยการเติบโตและโอกาสอีกสี่ปีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปี 2021 จะเป็นปีเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้” เพนซ์กล่าว
นอกจากนี้ แฮร์ริสยังได้โจมตีทรัมป์ว่าขาดความโปร่งใส ทั้งในการเปิดเผยเรื่องสุขภาพ และการจ่ายภาษี โดยเธอกล่าวถึงการเปิดเผยล่าสุดของ The New York Times ที่พบว่าทรัมป์เป็นหนี้ถึง 400 ล้านดอลล่าร์ว่า การเป็นหนี้หมายถึงการติดเงินใครซักคน ดังนั้นชาวอเมริกันควรมีสิทธิรู้ว่า ประธานาธิบดีของพวกเขาเป็นหนี้ใครอยู่
“เพราะคนอเมริกันมีสิทธิที่จะรู้ว่าอะไรมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของประธานาธิบดี และเขากำลังตัดสินใจเหล่านั้นโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของคนอเมริกันของคุณหรือผลประโยชน์ส่วนตน?”
ต่างจากเพนซ์ที่พูดในประเด็นนี้ว่า คนอเมริกันมีประธานาธิบดีที่เป็นนักธุรกิจผู้สร้างงาน เขาจ่ายภาษีเงินเดือนภาษีทรัพย์สินหลายหมื่นล้านดอลลาร์สร้างงานให้คนอเมริกันหลายหมื่นตำแหน่ง ทั้งหลังจากนี้ ประธานาธิบดีก็จะเปิดเผยข้อมูลทางการเงินให้ชาวอเมริกันตรวจสอบด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ
เป็นที่รู้กันว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มหาอำนาจจีน และสหรัฐฯ ตึงเครียดกันมากในช่วงสมัยของทรัมป์ โดยเพจ ก็ได้ถามประเด็นนี้กับแคนดิเดตทั้งสอง ว่าพวกเขามองจีนเป็น ‘คู่แข่ง-คู่ต่อสู้-หรือศัตรู ?’ ซึ่งทั้งคู่ก็ได้หลีกเลี่ยงการตอบคำถามนี้แบบตรงๆ
เพนซ์ได้พูดถึงจีน โดยโทษจีนว่าเป็นประเทศที่ทำให้เกิดการระบาดของไวรัส และนั่นเป็นสิ่งที่ทรัมป์ไม่แฮปปี้ แต่เพนซ์ก็ได้ชื่นชมทรัมป์อีกครั้ง ในการแบนเที่ยวบินจากจีน และจีนได้ล้มเหลวในการจัดการไวรัสขั้นต้น แต่ทรัมป์ได้รับมือกับความล้มเหลวพวกนั้นได้
ขณะที่แฮร์ริสเอง ก็ชี้ว่าทรัมป์ยกเลิกทีมรับมือกับโรคระบาดของโอบามา ถอนผู้เชี่ยวชาญต่างๆ และโทษสงครามการค้าที่ทำให้คนอเมริกันตกงาน เกษตรล้มละลาย และเกิดภาวะถดถอยทางการผลิต “มุมมองและแนวทางที่มีต่อจีนของคณะบริหารทรัมป์ ส่งผลให้ชีวิตชาวอเมริกันสูญเสียงาน และจุดยืนของอเมริกา”
ทั้งคู่เองยังได้โต้เถียงกันว่า ใครควรรับผิดชอบกับความสูญเสียจากสงครามทางการค้าด้วย
แผนประกันสุขภาพ
แผนประกันสุขภาพเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีการพูดคุยตั้งแต่การดีเบตของประธานาธิบดี และในครั้งนี้ แฮร์ริส ก็ได้ตอบเหมือนไบเดนว่า เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลทรัมป์ที่ยกเลิกการประกันสุขภาพ หรือโอบามาแคร์ และประชาชนที่มีอาการต่างๆ ไม่ว่าจะโรคหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็ง จะพบเจอกับปัญหาในภายหลัง
ขณะที่เพนซ์มองว่า โอบามาแคร์เป็นหายนะ ทรัมป์และเขามีแผนที่จะปรับปรุง และแทนที่แผนด้านสุขภาพที่ดีกว่านี้ด้วย
สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
“ผมภูมิใจมากกับประวัติของเราเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและเรื่องการอนุรักษ์” เพนซ์ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ ทั้งต่างจากทรัมป์ เพนซ์เองได้ยอมรับว่าเขากำลังฟัง และมีแผนที่จะทำตามแนวทางของนักวิทยาศาสตร์ แต่กลับโจมตีแผน Green New Deal เช่นเดียวกับที่ทรัมป์โจมตีคราวก่อน โดยเขากล่าวว่าแผนนี้จะกระทบต่อพลังงาน และค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่จะเพิ่มขึ้น รวมถึงกระทบงานของชาวอเมริกันด้วย ทั้งเขายังบอกว่าไบเดนมีแผนที่จะแบนระบบการผลิตปิโตรเลียม (ซึ่งในความเป็นจริงไบเดนแค่กล่าวว่า เขาไม่สนับสนุนมันเท่านั้น”
ในประเด็นนี้ แฮร์ริสเองได้เริ่มพูดโดยตั้งคำถามกับปัญหาไฟป่าแคลิฟอร์เนียที่เกิดข้ึน โดยทรัมป์ไม่อ้างอิงตามวิทยาศาสตร์ เธอจึงชี้ว่า เขาไม่พร้อมจะเป็นผู้นำประเทศใน 4 ปีข้างหน้าด้วย
กระบวนการยุติธรรม
เรื่องระบบความยุติธรรม โดยการยกปัญหาการประท้วงทางเชื้อชาติผิวสี จากกรณีการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ และบริอานนา เทเลอร์ ซึ่งเสียชีวิตโดยฝีมือของตำรวจ ซึ่งแฮร์ริสชี้ว่า เธอและเพนซ์จะแบนการกดผู้ต้องสงสัยด้วยเช่า จะสร้างทะเบียนตำรวจที่กระทำผิดกฎหมาย และเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ ในกระบวนการยุติธรรม
ประเด็นนี้เองเพนซ์ก็กล่าวว่าเขาเชื่อมั่นในระบบความยุติธรรม และการที่ไบเดน และแฮร์ริสกล่าวถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีอคติต่อชนกลุ่มน้อย เป็นการดูถูกเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ับังคับใช้กฎหมายด้วย
นอกจากนี้ในการดีเบตยังมีการพูดถึงประเด็น ศาลฎีกาสูงสุด ซึ่งตอนนี้มีตำแหน่งว่างอยู่ โดยแฮร์ริสได้ยืนยันจุดยืนเหมือนไบเดนว่า ประชาชนอเมริกาที่มิสิทธิเลือกตั้ง ควรเป็นผู้ตัดสินในการเติมเต็มที่นั่งว่างของศาลฎีกา ส่วนเพนซ์เองก็ได้โจมตีพรรคเดโมแครตว่า พรรคต้องการขยายที่นั่งของศาลฎีกาสูงสุด
แม้การดีเบตจะมีแต่ประเด็นที่จริงจัง แต่บนเวทีครั้งนี้ ยังมีโมเมนต์ที่หลายคนจดจำ จากการที่มีแมลงวัน บินไปเกาะบนหัวของ รองปธน.เพนซ์เป็นเวลา 2 นาที ซึ่งได้กลายเป็นมีมที่หลายคนพูดคุยกันด้วย รวมถึงประโยคของแฮร์ริส ที่พูดขึ้นมาว่า “รองประธานาธิบดี ฉันกำลังพูดอยู่” ขณะที่เพนซ์พูดขัดเธอ ก็ได้กลายเป็นคลิปไวรัลในสื่อออนไลน์ด้วย
หลังการดีเบตครั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ และไบเดนเอง ต่างก็ได้ทวิตชื่นชมแคนดิเดตของตนว่าเป็นผู้ชนะในค่ำคืนนี้ ซึ่งสำนักข่าว CNN เผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกันที่รับชมการดีเบตครั้งนี้พบว่า แฮร์ริส มีคะแนน 59% ขณะที่เพนซ์ ที่ได้ไปเพียง 38%
การดีเบตครั้งต่อไปของประธานาธิบดีจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ แม้ว่าทรัมป์จะติดเชื้อ COVID-19 แต่หลังออกจากโรงพยาบาลเขาก็ได้ยืนยันว่าตั้งหน้าตั้งตารอการดีเบตครั้งที่ 2 ขณะที่ไบเดนเองมองว่า การดีเบตไม่ควรจัดขึ้น หากทรัมป์ยังไม่หายดี
#BRIEF #TheMATTER