หลังจากแสดงฤทธิ์เดชในเมืองฮิโรชิม่าและเมืองนางาซากิของญี่ปุ่น จนทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายแสนคน เมื่อปี ค.ศ.1945 ก็มีความพยายามผลักดันจากผู้ได้รับผลกระทบและภาคประชาสังคมให้ ‘อาวุธนิวเคลียร์’ เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในระดับนานาชาติ
กระทั่งสหประชาชาติ (UN) รับไปเป็นเจ้าภาพ มีการยกร่าง ‘สนธิสัญญาห้ามอาวุธนิวเคลียร์’ (Treaty on the Prohibition of Nuclear Weapons) ซึ่งมันกำลังจะมีผลบังคับใช้ต้นปี ค.ศ.2021 หลังจากมีชาติสมาชิกให้สัตยาบันครบ 50 ประเทศ
หลังเหตุการณ์ฮิโรชิมา-นางาซากิ แม้ไม่เคยมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่สร้างความเสียหายระดับนั้นอีก แต่หลายๆ ชาติมหาอำนาจก็เดินหน้าสะสมอาวุธนิวเคลียร์เป็นการใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงยุคสงครามเย็น ไม่รวมถึงการทดสอบกว่า 300 ครั้ง ในพื้นที่ของประเทศบริเวณหมู่เกาะแปซิฟิกที่เป็นอาณานิคมของชาติมหาอำนาจ ทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ไปจนถึงฝรั่งเศส ทิ้งผลกระทบไว้อย่างมหาศาล
จึงไม่น่าแปลกอะไร ที่ชาติซึ่งร่วมให้สัตยาบันนี้ชาติแรกๆ จึงเป็นประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิก เช่น ฟิจิ ปาเลา วานูอาตู คิริบาติ ซามัว – ต่างกับชาติมหาอำนาจที่ไม่ร่วมให้สัตยาบันในสนธิสัญญานี้เลย ไม่ว่าจะสหรัฐอเมริกา จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ไปจนถึงชาติที่มีนิวเคลียร์ในครอบครอง เช่น อินเดีย อิสราเอล ปากีสถาน เกาหลีเหนือ ก็ไม่มีชื่ออยู่ด้วย (แต่ไทยร่วมให้สัตยาบันตั้งแต่แรกเลยนะ)
ตามสนธิสัญญานี้ กำหนดไว้ว่ากิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธนิวเคลียร์ ไม่ว่าจะพัฒนา ทดสอบ ครอบครอง และใช้งาน จะกระทำมิได้
แต่เมื่อชาติใหญ่ๆ ไม่ได้ร่วมให้สัตยาบันด้วย น่าสนใจว่าจะมีผลบังคับใช้มากน้อยแค่ไหน หรือที่สุดก็เป็นแค่สนธิสัญญาฉบับหนึ่ง ที่ไม่มีผลบังคับใช้ใดๆ
อ้างอิงข้อมูลจาก
#Brief #TheMATTER