ทำไมอินโดนีเซียถึงแจกจ่ายวัคซีนให้คนวัยทำงานเป็นกลุ่มแรก ขณะที่ชาติอื่นแจกให้ผู้สูงอายุก่อน ?
.
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับ COVID-19 ‘วัคซีน’ เป็นสิ่งที่แทบทุกชาติให้ความสำคัญกันอย่างมาก โดยตอนนี้หลายประเทศก็เริ่มแจกจ่ายวัคซีนให้กับประชาชนไปบ้างแล้ว และอินนีเซียก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เริ่มเตรียมการจะฉีดวัคซีนให้กับประชาชนกว่าร้อยล้านคนภายในเดือนมีนาคมนี้เช่นกัน
.
แต่ในขณะที่หลายชาติมุ่งเป้าแจกวัคซีนให้กับผู้สูงอายุก่อน อินโดนีเซียประกาศว่าจะแจกจ่ายวัคซีนให้กับคนวัยทำงาน อายุ 18-59 ปีก่อนเป็นอันดับแรกๆ ถัดจากกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องได้รับวัคซีนก่อน เกิดเป็นคำถามที่น่าสนใจว่า ทำไมถึงเลือกจ่ายวัคซีนให้กับคนกลุ่มนี้ก่อน ขณะที่ประเทศอื่นๆ เลือกที่จะจ่ายวัคซีนให้ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มแรก
.
ต้องอธิบายก่อนว่า วัคซีนที่ทางการอินโดนีเซียสั่งเข้ามาก่อนนั้น เป็นวัคซีนที่พัฒนาโดย Sinovac Biotech จากประเทศจีน ซึ่งได้ทำการทดลองทางคลินิกกับกลุ่มคนในช่วงวัย 18-59 ปี แตกต่างจากวัคซีนของประเทศทางฝั่งตะวันตกที่อย่าง Pfizer และ Moderna ซึ่งมีผลการทดลองออกมาแล้วว่า ได้ผลดีกับคนทุกช่วงอายุ
.
เป้าหมายหลักๆ ของอินโดนีเซียก็คือ การทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว และต้องการให้เกิด ‘herd immunity’ หรือก็คือ สถานการณ์ที่สัดส่วนของประชากรที่มีภูมิคุ้มกันแล้ว มีจำนวนมากพอ จนเชื้อไวรัสไม่สามารถแพร่กระจาย หรือถูกส่งผ่านไปยังคนอื่นๆ ได้ ซึ่งภูมิคุ้มกันที่ว่านี้อาจเกิดขึ้นจากที่ร่างกายผลิตขึ้นมาเองตามธรรมชาติ หรือจากการฉีดวัคซีนก็ได้เช่นกัน
.
อย่างไรก็ดี สาเหตุที่หลายประเทศเลือกฉีดวัคซีนให้กลุ่มผู้สูงอายุก่อนนั้น ก็เป็นอย่างที่เราทราบกันดีว่า ผู้สูงวัยเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ จึงต้องรีบหาทางป้องกันโดยเร็ว เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตลง
.
แต่ เดล ฟิชเชอร์ (Dale Fisher) ศาสตราจารย์จาก National University of Singapore ก็อธิบายถึงสาเหตุที่อินโดนีเซียเลือกฉีดวัคซีนให้กลุ่มคนทำงานก่อนว่า โดยทั่วไปแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้มักจะกระตือรือร้น เข้าสังคม และเดินทางไปไหนมาไหนมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ดังนั้น กลยุทธ์นี้จะช่วยลดการแพร่เชื้อในชุมชนได้เร็วกว่าการฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุ จึงถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
.
ขณะที่ ปีเตอร์ คอลลิงออน (Peter Collignon) ศาสตราจารย์ด้านโรคติดเชื้อจาก Australian National University มองว่า วิธีการของอินโดนีเซียจะช่วยชะลอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ แต่จะไม่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยจากโรคนี้
.
นอกจากนี้ คำถามที่ตามมาก็คือ การฉีดวัคซีนให้กลุ่มคนวัยทำงานก่อน จะช่วยสร้าง herd immunity ได้ในเร็ววันจริงไหม?
.
บูดี กูนาดี ซาดีคิน (Budi Gunadi Sadikin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซีย กล่าวว่า อินโดนีเซียต้องฉีดวัคซีนให้ประชาชนกว่า 181.5 ล้านคน หรือประมาณ 67% จากประชากรทั้งหมด 267 ล้านคน จึงจะเกิดเป็น herd immunity ขึ้นมาได้ และต้องใช้วัคซีนเกือบ 427 ล้านโดส โดยสมมติว่าต้องใช้ยา 2 ขนาด พร้อมด้วยอัตราการสูญเสียถึง 15% ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซียประกาศแล้วว่า ประชาชนจำนวน 181.5 ล้านคน จะได้รับวัคซีนภายในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ.2021
.
แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ยังข้องใจว่า การฉีดวัคซีนให้ประชาชนตามที่ทางการประกาศนั้นจะช่วยให้เกิด herd immunity ได้จริงหรือไม่ เพราะยังต้องอาศัยงานวิจัยอีกจำนวนมากจึงจะมั่นใจได้ว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วจะไม่สามารถแพร่เชื้อได้อีก
.
ส่วนประเด็นเรื่องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของทั้งโลกตกต่ำลง สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนจำนวนมาก ทางการอินโดนีเซียก็มองว่า การฉีดวัคซีนให้กลุ่มคนวัยทำงานก่อนนั้น จะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว
.
เหล่านักเศรษฐศาสตร์มองว่า หากสามารถฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรกว่า 100 ล้านคนได้ ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวได้อย่างก้าวกระโดด และในกลุ่มคนอายุ 18-59 ปีนั้น ก็เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มจะกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อย่างการใช้จ่ายและการผลิต เพราะเป็นกลุ่มที่มีความต้องการในการบริโภคสูงซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้
.
แต่ก็ยังมีประเด็นที่ต้องจับตากับวัคซีนของ Sinovac ที่ยังไม่เปิดเผยผลการทดสอบในเฟส 3 ออกมา โดยอ้างว่าต้องรอผลจากการทดลองในบราซิล อินโดนีเซีย และตุรกีก่อน ซึ่งข้อมูลที่ยังไม่ได้สรุปผลอย่างเป็นทางการจากตุรกีจะระบุว่า วัคซีนนี้ได้ผลถึง 91.25% ขณะที่นักวิจัยในบราซิลกล่าวว่า วัคซีนนี้ได้ผลมากกว่า 50% แต่ก็ยังไม่เปิดเผยผลการทดลองทั้งหมดอยู่ดี ทำให้หลายคนตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของวัคซีน Sinovac
.
อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียยังได้สั่งซื้อวัคซีนจาก Pfizer ซึ่งคาดว่าจะเริ่มในช่วงไตรมาสที่สาม และวัคซีนจาก AstraZeneca และมหาวิทยาลัย Oxford ซึ่งจะเริ่มแจกจ่ายในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ด้วย
.
ถึงอย่างนั้น ก็ขอย้ำว่าไม่มีใครทราบว่า ระหว่างการฉีดวัคซีนให้กลุ่มผู้สูงอายุก่อน กับการฉีดวัคซีนให้กลุ่มคนวัยทำงานก่อนนั้น วิธีไหนจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากันแน่
.
.
อ้างอิงจาก