แม้ตำแหน่งสูงจะสูงเพียงใด แต่ถ้าทำผิดก็ไม่รอด ล่าสุด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านมติให้มีการดำเนินการไต่สวนความผิดของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เพื่อนำไปสู่การถอดถอนออกจากตำแหน่ง หลังทำการยุยงปลุกปั่นให้เกิดจลาจลขึ้นในอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา
การดำเนินล่าสุดของสภาสหรัฐฯ ทำให้ทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ถูกยื่นถอดถอนถึง 2 ครั้ง และหลังจากนี้สภาผู้แทนฯ จะส่งญัตติการถอดถอนทรัมป์ให้กับวุฒิสภาสหรัฐฯ ต่อไป
ญัตติการถอดถอนนี้ผ่านด้วยการโหวตจากสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนน 232 ต่อ 197 คะแนน โดยมี ส.ส. ฝ่ายรีพับบลิกันร่วมสนับสนุนการลงชื่อถอดถอนนี้ด้วย และหนึ่งในนั้นคือ ลินน์ ชีนีย์ (Liz Cheney) บุตรสาวของดิก ชีนีย์ (Dick Cheney) อดีตรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ ที่ได้ออกมาแถลงประณามทรัมป์จากการปลุกระดมประชาชน โดยเธอกล่าวว่า ไม่มีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใด ที่ทรยศประเทศไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ในส่วนของขั้นตอนต่อไปที่จะตัดสินว่าทรัมป์มีความผิดหรือไม่ วุฒิสภาต้องโหวตให้ได้คะแนนอย่างน้อย 2 ใน 3 ขึ้นไป หมายความว่า ต้องมี ส.ว. สังกัดรีพับบลิกันอย่างน้อย 17 คน เข้าร่วมกับตัวแทนจากเดโมแครต มติถอดถอนจึงจะผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา ซึ่งหากดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เนื่องจากที่ผ่านมา มี ส.ว. จากรีพับบลิกันหลายคนเปิดเผยว่าจะร่วมโหวตลงโทษทรัมป์ ฐานปฏิบัติตนเป็นกบฏต่อประชาธิปไตยของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม มิตช์ แมคคอนเนลล์ (Mitch McConnell) สมาชิกวุฒิสภาอาวุโสของสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะเปิดประชุมฉุกเฉิน และกล่าวว่าจะไม่มีการเริ่มพิจารณาใดๆ จนกว่าวุฒิสภามีกำหนดกลับสู่การประชุมสมัยสามัญในวันที่ 19 มกราคม ซึ่งเกิดขึ้นเพียง 1 วันก่อนพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของโจ ไบเดน แต่เขายืนยันว่าแม้ว่าทรัมป์จะลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว การพิจารณาคดีจะยังดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน
แม้ว่าเป้าหมายที่จะถอดถอนทรัมป์ก่อนหมดวาระ จะเป็นไปได้ยาก แต่อีกหนึ่งสิ่งที่สภาคองเกรสทำได้หลังจากนี้ คือการลงมติยับยั้งไม่ให้ทรัมป์กลับมาลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีอีก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เขาเคยประกาศ 4 ปี ข้างหน้า เขาจะกลับมาทวงตำแหน่งเดิมคืน
การกระทำยุยงปลุกปั่นของโดนัลด์ ทรัมป์ต่อมวลชนในสัปดาห์ที่ผ่านมา นำมาสู่เหตุชุลมุลกลางสภาสหรัฐฯ เพื่อขัดขวางการกระบวนการรับรองโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ แม้ว่าทรัมป์จะเรียกร้องให้แสดงความคิดเห็นอย่างสันติ แต่เขากลับบอกกลุ่มผู้สนับสนุนให้เดินหน้าต่อไป จนกว่าจะได้ชัยชนะ และสุนทรพจน์ดังกล่าวก็นำมาซึ่งเหตุวุ่นวาย จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 ราย
การบุกรุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในครั้งนั้น เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสองศตวรรษ นับตั้งแต่อังกฤษบุกโจมตีและเผาอาคารรัฐสภาในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.1814 ดังนั้น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่หลายคนประณามว่าเป็นความพยายามในการทำลายประชาธิปไตยของสหรัฐฯ อย่างร้ายกาจ
อ้างอิงจาก
https://www.theguardian.com/international
https://www.theguardian.com/us-news/2021/jan/13/trump-impeachment-what-you-need-to-know
https://www.cnbc.com/2021/01/13/house-to-impeach-trump-for-inciting-capitol-riot.html
#Brief #TheMATTER