หากพูดถึงโครงการของรัฐ หลากคนมองว่ามันควรจะเป็นสิ่งที่ประชาชน ‘ทุกคน’ สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม นั่นจึงเป็นที่มาของกระแสวิพากษ์วิจารณ์ #คนละครึ่งเฟส3 ที่เปิดให้ลงทะเบียนเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ว่าเป็นสวัสดิการที่โอบอุ้มชนชั้นกลาง และจงใจทอดทิ้งคนจน
แม้จะเปิดให้มีการลงทะเบียนมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ก็ดูเหมือนโครงการดังกล่าวยังคงสร้างคำถามให้แก่ผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์มาโดยตลอด ทั้งกระบวนการในการรับสิทธิ์ ไปจนถึงขอบเขตของผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเงื่อนไขแรกสุดในการเข้าร่วมโครงการนี้ เริ่มต้นด้วยการมีสมาร์ทโฟน พร้อมอินเทอร์เน็ตที่เร็วมากพอจะแข่งขันกับประชาชนคนอื่นๆ
คำถามที่ตามมาคือ แล้วทำไมประชาชนจึงต้องแข่งขันกันเอง เพื่อให้ได้ความช่วยเหลือรัฐ?
ว่าด้วยเรื่องการแข่งขันลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 3 กระทรวงการคลังได้เปิดเป็นรอบเพิ่มเติมให้กับประชาชนลงทะเบียน 1.34 ล้านสิทธิ์ โดยตามกำหนดแล้ว โครงการดังกล่าวเปิดให้ลงทะเบียนเวลา 06:00 น. และทันทีที่เปิดลงทะเบียนเพียง 10 นาที ระบบก็แจ้งเตือนว่ามีผู้เข้าร่วมโครงการครบแล้ว นำมาสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์สองกระแส ประเด็นแรกคือ กระบวนการในการลงทะเบียนมีความไม่เสถียร ผู้ลงทะเบียนบางคนไม่ได้รับรหัส OTP ทำให้พลาดไม่ได้รับสิทธิ์ทันเวลา
ซึ่งในกรณีนี้มีความแตกต่างจากประเด็นปัญหาในการลงทะเบียนครั้งที่ผ่านมา ครั้งที่แล้วมีการระบุชัดเจนว่าบริษัทให้บริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต DTAC มีปัญหา จึงทำให้ลงทะเบียนไม่สำเร็จ แต่ในครั้งนี้ผู้ใช้ทวิตเตอร์หลายคนออกมาบ่นว่าค่ายสัญญาณมือถือของตนมีปัญหา และแต่ละค่ายก็ไม่ใช่เครือข่ายเดียวกัน ทำให้เริ่มมองว่า ต้นเหตุที่แท้จริงอาจมาจากความเสถียรภาพของระบบการทำงาน ‘คนละครึ่ง’ ที่เป็นสาเหตุของระบบที่ขัดคล่อง จนทำให้เสียสิทธิ์
และอีกหนึ่งกรณีคือ การจำกัดสิทธิ์เพียง 1.34 ล้านสิทธิ์ ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อช่วงเช้ามีคนออกมาทวีตแสดงความคิดเห็นมากมาย อาทิ ‘จ่ายภาษีแบบบังคับ รับสวัสดิการแบบวัดดวง’ บ้างก็เปรียบเทียบว่า การกดบัตรคอนเสิร์ต หรือเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ ยังดูมีโอกาสได้สิทธิ์มากกว่าการลงทะเบียนคนละครึ่งเสียอีก
โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ ได้ออกมาพูดถึงปัญหาดังกล่าวด้วยเช่นกัน เธอกล่าวว่า เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ทำเหมือนเป็นการโปรยทานต้องแข่งขันแย่งชิงกัน ในขณะที่คนเดือดร้อนจริงๆ กลับไม่ได้รับเงิน หากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้สำเร็จ ต้องเริ่มต้นที่การใช้เงินให้ถูกจุด และจำนวนเงินต้องมากพอที่จะ Restart เศรษฐกิจอีกครั้ง
สำหรับประเด็นเรื่องการจำกัดสิทธิ์นั้น กฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้เคยอธิบายไว้แล้วว่า จำนวนสิทธิลงทะเบียนคนละครึ่งเฟส 3 มากจากสิทธิคงเหลือของโครงการคนละครึ่งเฟสแรก ที่มีสิทธิคงเหลืออยู่ประมาณ 500,000 สิทธิ และเฟส 2 ที่มีผู้ไม่ผ่านเกณฑ์กว่าอีกประมาณ 500,000 สิทธิ จึงเป็นที่มาของการจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ที่ยังว่างอยู่ในวันนี้
และเหตุผลที่ต้องมีการจำกัดสิทธิ์การลงทะเบียนในแต่ละโครงการ พรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เคยชี้แจงไว้ว่า เงินส่วนที่มาอุดหนุนในโครงการเป็นการระดมจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดเพื่อแก้ไขปัญหา เพื่อเยียวยาฟื้นฟูผลกระทบจาก COVID-19 และจุดประสงค์โครงการคือ ต้องการดึงเงินประชาชนที่มีการใช้จ่ายออกมา และลดภาระค่าใช้จ่าย ดังนั้นจึงมีการจำกัดจำนวนเงินที่จะปล่อยออกสู่ระบบ นำมาสู่การจำกัดสิทธิ์ เนื่องจากการแจกจ่ายเงิน จำเป็นต้องดูความเหมาะสม และจำนวนเงินในคลังด้วย
ขณะที่ทางฝั่งรัฐบาลเอง เคยชี้แจงก่อนหน้านี้ว่า ไม่ได้ทอดทิ้งประชาชนแต่อย่างใด ที่ผ่านมามีการเปิดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และโครงการกำลังใจ เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกอื่นๆ ในการใช้สิทธิ์นอกเหนือจากคนละครึ่ง นอกจากนี้ รัฐบาลยังงดเก็บภาษีบุคคลธรรมดา สำหรับเงินที่ได้รับจากโครงการช่วยเหลือจากรัฐบาล เพื่อเป็นการส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินของประชาชน ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19
อ้างอิงจาก
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/916693
https://www.prachachat.net/finance/news-593099
https://www.thairath.co.th/news/business/2016076
#Brief #TheMATTER