เหตุความรุนแรงทางการเมืองระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ.2553 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งฝั่งประชาชนและฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐอย่างน้อย 92 คน ยังไม่สิ้นสุดดี เพราะบางคดีความยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ
.
ในวันนี้ (1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564) ศาลชั้นต้น ก็เพิ่งตัดสิน ‘ยกฟ้อง’ คดีหมายเลขดำ อ.857/2562 กรณีกล่าวหาว่า จำเลยทั้ง 3 คน ร่วมกับสังหาร พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) และทหารอีก 4 นาย ขณะกระชับพื้นที่การชุมนุมทางการเมือง บริเวณแยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2553
.
โดยศาลให้เหตุผลว่า เพราะพยานโจทก์ ทั้ง 3 ปาก ‘มีข้อพิรุธ’ อ้างเป็นผู้ติดตามจำเลยแต่ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ ไม่รู้จักกลุ่ม นปช. ไม่มีแรงจูงใจทางการเมือง นอกจากนี้ ยังไม่เคยให้การกับพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่รัฐรายใด จนกระทั่งพยานทั้งหมดเข้าโครงการคุ้มครองพยานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) จึงให้การว่าเห็นจำเลยทั้ง 3 คนก่อเหตุ
.
“เชื่อว่าพยานไม่เห็นเหตุการณ์และไม่น่าเชื่อถือ..จึงพิพากษาให้ยกฟ้อง”
.
โดยจำเลยคดีนี้ทั้ง 3 คน ประกอบด้วย สุขเสก-เสก พลตื้อ, พรกมล บัวฉัตรขาว หรือกนกพร ศิริพรรณาภิรัตน์ อดีตผู้ดำเนินรายการทีวีสถานีประชาชน ช่องเอเชียอัพเดต และสุรชัย-หรั่ง เทวรัตน์
.
.
ส่วนผู้เสียชีวิตอื่น นอกจาก พ.อ.ร่มเกล้า ประกอบด้วย
– พลทหาร ภูริวัฒน์ ประพันธ์
– พลทหาร อนุพงษ์ เมืองรำพัน
– พลทหาร สิงหา อ่อนทรง
– พลทหาร อนุพงศ์ หอมมาลี .
.
นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาของ พ.อ.ร่มเกล้า หนึ่งในโจทก์ร่วมคดีนี้ โพสต์เฟซบุ๊กหลังทราบคำตัดสินว่า แม้ศาลชั้นต้นจะยกฟ้อง แต่จากคำพิพากษาก็เป็นที่ประจักษ์ว่า มีกลุ่มคนที่กระทำต่อเจ้าหน้าที่ทหารจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตโดยใช้อาวุธสงครามร้ายแรงกับเจ้าหน้าที่จริง มีการโยนระเบิด M67 จากบ้านไม้ถนนดินสอมายังกลุ่มเจ้าหน้าที่ทหาร จึงไม่ใช่การชุมนุมที่สงบและปราศจากอาวุธตามที่กล่าวอ้างมาตลอด
.
สำหรับเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ในปี พ.ศ.2553 ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 92 คน แบ่งเป็นฝั่งประชาชนอย่างน้อย 82 คน และฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งทหารและตำรวจอีก 10 คน และมีผู้บาดเจ็บมากกว่า 1,500 คน ถือเป็นเหตุนองเลือดครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่
.
เหตุที่มีจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากขนาดนี้ เพราะมีการใช้อาวุธสงครามจากทั้ง 2 ฝ่าย อย่างก็ตาม ในขณะที่ญาติผู้เสียชีวิตฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐผิดหวังที่ศาลชั้นต้นตัดสินยกฟ้อง แต่ญาติผู้เสียชีวิตฝ่ายประชาชน กลับไม่มีโอกาสได้ลุ้นผลการตัดสินคดีในศาลเลย เพราะเคยไม่มีคดีใดเข้าสู่การพิจารณาอย่างจริงจังแม้แต่คดีเดียว ทั้งที่มีอย่างน้อย 18 ศพ ที่ศาลชันสูตรพลิกศพแล้วชี้ว่า เสียชีวิตเพราะกระสุนปืนที่ยิงมาจากฝั่งทหารก็ตาม
.
ญาติผู้เสียชีวิตเคยยิ่นคำร้องต่อศาล ศาลพิจารณาแล้วบอกว่า ไม่อยู่ในอำนาจ ต้องไปยื่นคำร้องกับ ป.ป.ช. พอไปยื่นกับ ป.ป.ช. ก็ยกคำร้องอีก ให้เหตุผลว่าผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนายกฯ รองนายกฯ และ ผบ.ทบ.ขณะนั้น ไม่มีความผิด
.
พะเยาว์ อัคฮาด แม่ของกมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2553 เพราะถูกทหารที่ประจำการบนรางรถไฟฟ้า BTS ยิง เคยให้สัมภาษณ์กับ The MATTER ว่า แม้จะยังไม่สามารถผลักดันคดีใดให้เข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาลได้ แต่ยังเชื่อว่าสักวันหนึ่งจะได้รับความยุติธรรม เพราะคดีมีอายุความถึง 20 ปี หรือจนถึงปี พ.ศ.2573
.
ความสูญเสียจากเหตุการณ์ปี พ.ศ.2553 ยังมีครอบครัวของผู้สูญเสียรอ ‘ความยุติธรรม’ อยู่จนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐหรือฝ่ายประชาชน
.
วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด จะทำให้เหตุความสูญเสียมีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำๆ เพราะผู้ก่อเหตุไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไร
.
.
อ้างอิงจาก
https://www.matichon.co.th/politics/news_2556658
https://news.ch7.com/detail/464925
https://www.facebook.com/nicha.thuvatham/posts/3888332137884609
https://thematter.co/social/political-violence-2010/112118
https://www.youtube.com/watch?v=yJBESy8BxRI
#Brief #Politics #TheMATTER