สถานการณ์ความวุ่นวายในเมียนมายังคงร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่กองทัพเมียนมาเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วง และประชาชนทั้งชาวเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น จนนำมาสู่การลี้ภัย ของชาวกะเหรี่ยงจากเมียนมาเข้ามายังฝั่งไทย แต่สถานการณ์ดูเหมือนจะไม่ได้จบลงแค่นั้น
เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. ของเมื่อวานนี้ (29 มีนาคม) สื่อหลายสำนักทั้งไทย และต่างประเทศอย่าง The Reporters, บีบีซีไทย, และ Reuters ต่างรายงานว่า ทางการไทยได้ผลักดันผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงจำนวนกว่า 2,009 ราย ออกจากบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่วนเรื่องน่าวิตกต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทย ต่อเรื่องวิกฤตผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยงในครั้งนี้ จะมีที่มาที่ไปอย่างไร The MATTER ได้สรุปมาให้แล้ว
1.เหตุการณ์ทั้งหมด สืบเนื่องมาจากมีการรายงานข่าวจาก Reuters ระบุว่า มีอพยพชาวกะเหรี่ยง เดินเท้ามาจากท่าอิตูท่า มายังริมแม่น้ำสาละวิน บริเวณปากห้วยแม่สะเกิบ ของอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อเดินทางข้ามแม่น้ำสาละวินด้วยเรือ ในการลี้ภัยจากความรุนแรง หลังกองทัพเมียนมาเข้าโจมตีทางอากาศ บริเวณฐานที่มั่นเดปูโหน่ ของกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU)
2.ต่อมา The Reporters ได้รายงานว่า ยังมีชาวกะเหรี่ยงอีกหลายคน ที่กำลังประสบกับความหวาดกลัว หลังจากที่ยังมีเสียงเครื่องบินรบบินวนไปมาอยู่ในฝั่งเมียนมา ทั้งนี้ มีรายงานเพื่มเติมว่า ทหารไทยได้ประสานไปยังหัวหน้าค่ายผู้ลี้ภัยในฝั่งเมียนมา เพื่อขอให้นำชาวกะเหรี่ยงกลับไปยังประเทศของตน ทั้งนี้ มีรายงานเพิ่มเติมว่า ทหารพราน ทพ.36 ของไทย ได้นำลวดหนามเข้าล้อมในบริเวณที่ชาวกะเหรี่ยงจากอิตูท่าเข้ามาพักพิง โดยเปิดแค่ให้มีช่องทางเดินกลับไปขึ้นเรือ เพื่อผลักดันให้ชาวกะเหรี่ยง ไม่สามารถเข้ามาพักพิงในฝั่งไทยได้
3.รายงานยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า ในขณะที่ชาวกะเหรี่ยง ที่เดินทางข้ามมายังฝั่งไทย ซึ่งรวมถึงเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยหามมาบนเปล ได้ถูกเจ้าหน้าที่กดดันให้เดินทางกลับไปยังอิตูท่าอย่างหนัก ยังมีชาวกะเหรี่ยงจากฝั่งเมียนมาอีกจำนวนมาก ที่ต้องการเดินทางข้ามมายังฝั่งไทย เพื่อหนีภัยอันตรายจากกองทัพเมียนมา แต่กลับถูกสกัดกั้นจากเจ้าหน้าที่ของไทย บริเวณบ้านแม่หงะ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวิน
4.เมื่อวานนี้ (29 มีนาคม) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ไทยจะดำเนินการไปตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยไทยกำลังพิจารณาในเชิงนโยบายอยู่ ทั้งนี้ ขอให้เป็นเรื่องภายในของไทยไปก่อน ถึงแม้ว่าไทยเองก็ไม่อยากจะให้มีใครอพยพเข้ามา อีกทั้งอย่าเพิ่งพูดไปล่วงหน้า ถึงการจัดตั้งที่พักพิง ตั้งศูนย์อพยพเป็นเรื่องฝ่ายความมั่นคงจะจัดเตรียมไว้
5.เช่นเดียวกันกับ สิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ทางจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้จัดเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับกับสถานการณ์การอพยพของชาวกะเหรี่ยงจากเมียนมา ตามแนวตะเข็บชายแดนของไทย บริเวณอำเภอแม่สะเรียง และอำเภอสบเมย แล้ว ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างทหารไทยกับทหารเมียนมายังคงมีความสัมพันธ์กันดีในระดับพื้นที่ อย่างไรก็ดี การให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ และ สิธิชัย เกิดขึ้นก่อนการรายงานข่าวว่าทางการไทย ได้มีการผลักดันผู้อพยพลี้ภัยกะเหรี่ยงกลับไปยังเมียนมา
6.ในขณะที่ พรสุข เกิดสว่าง ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน ได้ระบุถึงการผลักดันชาวกะเหรี่ยง ให้กลับไปยังฝั่งเมียนมาว่า ตามหลักกฎจารีตประเพณีสากลระหว่างประเทศแล้ว รัฐจะต้องไม่ผลักดันให้ผู้ลี้ภัยเข้าไปสู่ความอันตราย ทางการไทยควรให้ชาวกะเหรี่ยงเข้ามาพักพิงเพียงชั่วคราว เพราะไม่มีใครอยากจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ และหลังจากเหตุการณ์สงบ ผู้ลี้ภัยย่อมอยากเดินทางกลับไปยังถิ่นที่อยู่ของตัวเอง ทั้งนี้ รัฐบาลไทยควรเจรจากับกองทัพเมียนมา ให้หยุดปฏิบัติการโจมตี แทนการผลักดันชาวกะเหรี่ยงกลับไปยังฝั่งเมียนมา
7.The Reporters ยังได้เผยแพร่วิดีโอคลิป ที่มีเสียงของชาวกะเหรี่ยงระบุว่า “ต้องกลับแล้ว ชาวบ้านมีความยากลำบาก ทหารไทยเอาลวดหนามมากั้น ตอนนี้พี่น้องกะเหรี่ยงกลับแล้ว ต้องยอมจำนนกลับแล้ว มีแต่คนแก่คนเฒ่า เด็กเล็ก หนีมาฝั่งไทย เขาก็ให้กลับไปฝั่งนู้น ก็สถานการณ์ไม่ดี ยังมีเครื่องบินบินอยู่เลย ทหารพม่าก็ไล่ล่า พี่น้องเอ๋ย ถ้ารับรู้ก่อนช่วยกันหน่อย เกิดเป็นปากะญอทำไมลำบากอย่างนี้” ทั้งนี้ ผู้อพยพลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงต่างยืนยันว่า พวกเขาไม่ได้สมัครใจที่จะเดินทางกลับ แต่พวกเขาเองถูกกดดันจากทหารไทย ให้กลับไปยังพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย
8.โดยในช่วงกลางคืนของเมื่อวานนี้ ธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมาแถลงปฏิเสธข่าวดังกล่าวว่า ทางการไทยไม่ได้ผลักดันให้ชาวกะเหรี่ยงเดินทางกลับไปยังฝั่งเมียนมา อีกทั้งไทยเองมีประสบการณ์ในการรับมือ กับกลุ่มผู้อพยพที่เดินทางเข้ามาในไทย ตามหลักมนุษยธรรมและหลักสากลระหว่างประเทศอยู่แต่เดิมแล้ว ทั้งนี้ กระทรวงต่างประเทศเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ในบริเวณชายแดน จะมีมาตรการต่างๆ รวมถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 ด้วย
9.ธานียังกล่าวย้ำอีกว่า การรายงานข่าวว่าทางการไทย ได้ขับไล่และผลักดัน ให้ชาวกะเหรี่ยงเดินทางกลับไปยังฝั่งเมียนมานั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะเป็นเพียงแค่การรายงานข่าวอย่างไม่เป็นทางการ จากช่องทางเดียว โดยไม่ได้มีข้อเท็จจริงยืนยันจากแหล่งข่าวทางการในพื้นที่ ซึ่งต่างยืนยันว่าไม่มีการผลักดันชาวกะเหรี่ยงกลับไปยังเมียนมา โดยฝ่ายไทยยืนยันจะให้การดูแลผู้ที่ข้ามมายังฝั่งไทยแล้ว และจะยังติดตามและประเมินสถานการณ์ต่อไป
10.ในเช้าวันนี้ (30 มีนาคม) The Reporters ได้รายงานเพิ่มเติมว่า จากการลงพื้นที่แรกรับที่บ้านท่าตาฝั่ง ซึ่งต้องใช้รถยนต์ผ่านบ้านแม่สามแลบ ทางทีมข่าวของ The Reporters ถูกทหารพราน ทพ.36 ห้ามไม่ให้สื่อมวลชนหรือบุคคลภายนอกเข้าไปในพื้นที่ ที่อยู่ห่างประมาณ 8 กม.เนื่องจากยังมีสถานการณ์ความมั่นคงและสถานการณ์ COVID-19 จึงจะยังคงมีการปิดสถานที่ท่องเที่ยว โดยจะไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปได้ รวมทั้งมีคำสั่งจากระดับสูงยังไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปในพื้นที่
11.อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่ดังกล่าวของ The Reporters พบว่า มีผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง ประสานขอส่งตัวผู้บาดเจ็บจำนวน 7 ราย มารักษาพยาบาลยังฝั่งไทยโดยเร่งด่วน ในขณะที่มีผู้อพยพอีกจำนวน 76 ราย ที่อพยพมายังริมน้ำสาละวินก่อนถึงบ้านท่าตาฝั่ง ได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้นจากเจ้าหน้าที่ไทยแล้ว ส่วนผู้อพยพกะเหรี่ยงจากค่ายอิตูท่า จำนวนโดยรวมประมาณ 3,000 ราย ตามที่ได้รายงานไปเบื้องต้น กำลังทยอยเดินทางกลับอีกในเช้านี้ แต่มีรายงานว่า ผู้อพยพที่เดินทางกลับบ้าน ยังคงไม่กล้าเข้าไปในนอนในบริเวณบ้าน เนื่องจากยังคงหวาดกลัวเสียงระเบิด จากการโจมตีทางอากาศของกองทัพเมียนมา
12.ในอีกทางหนึ่ง วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ออกมากล่าวในเช้าวันนี้ ถึงสถานการณ์การอพยพดังกล่าวว่า ขณะนี้กรมอุทยานได้ควบคุมพื้นที่ไว้ก่อน ด้วยการคัดกรองเรื่องของ COVID-19 และกันพื้นที่ไม่ให้กระจายตัวออกไป หลังจากนี้จะหารือกับหน่วยงานความมั่นคงว่าจะมีมาตรการอย่างไรต่อไป ทั้งนี้ผู้อพยพมีจำนวนหลักพัน โดยวราวุธยืนยันว่า ไม่มีความน่ากังวลต่อการควบคุมสถานการณ์ อีกทั้งยังได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่เดินลาดตระเวน ตรวจตราอย่างละเอียดเพิ่มมากขึ้น
13.การอพยพในครั้งนี้ เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่กองทัพเมียนมาเข้าโจมตีทางอากาศ ด้วยเครื่องบินรบ 2 ลำ บริเวณฐานที่มั่นของกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ตามที่ได้ระบุไปในข้างต้น ทั้งนี้ มีรายงานจาก Myanmar Now ระบุว่า จากการโจมตีทางอากาศดังกล่าว ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิต 2 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีก 8 ราย
14.การโจมตีดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่กองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง เข้ายึดฐานเซหมื่อท่า ของกองทัพเมียนมาได้ โดยมีการจับกุมตัวทหารเมียนมา 8 ราย อีกทั้งยังมีการยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และอุปกรณ์สื่อสารของทหารเมียนมาได้เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ มีรายงานว่าจากการโจมตีดังกล่าว ทำให้มีทหารของเมียนมาเสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บอีก 2 ราย อย่างไรก็ดี กองกำลังของชาวกะเหรี่ยง ออกประณามการทำรัฐประหารของกองทัพเมียนมาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ มาตั้งแต่แรก
สถานการณ์เมียนมายังคงไม่คลี่คลาย หลังจากการปราบปรามผู้ประท้วงและประชาชน จนมีตัวเลขจากสื่อท้องถิ่นของเมียนมาหลายแห่งรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุความรุนแรง ของกองทัพเมียนมาไปแล้วกว่า 500 ราย โดยการสังหารที่มากที่สุด ที่เกิดขึ้นกับผู้ชุมนุมกว่าร้อยราย เกิดขึ้นในวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันกองทัพเมียนมา ทั้งนี้มีรายงานตัวเลขผู้ถูกจับกุมแล้วอย่างน้อยกว่า 3,000 ราย อย่างไรก็ดี สถานการณ์การประท้วงในเมียนมายังคงดำเนินต่อไป เช่นเดียวกันกับปัญหาผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง บริเวณชายแดนของไทย ที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของกองทัพเมียนมา
อ้างอิงจาก
https://www.facebook.com/2287975534786167/posts/2946916158892098/?d=n
https://www.facebook.com/2287975534786167/posts/2946968672220180/?d=n
https://www.facebook.com/2287975534786167/posts/2947098182207229/?d=n
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2644887
https://www.bbc.com/thai/thailand-56564707
https://thematter.co/brief/139316/139316
#Recap #TheMATTER