ปฏิเสธไม่ได้ว่าคู่รักหลายคู่ลงเอยด้วยการแยกจากกัน และผู้หญิงต้องรับหน้าที่ดูแลลูกเพียงลำพัง รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐฯ จึงออกกฎหมายให้พ่อทางสายเลือดต้องออกค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรก่อนคลอด ร่วมกับฝ่ายหญิงคนละครึ่ง เพื่อลดภาระที่ผู้หญิงตั้งครรภ์ต้องแบกรับ
สเปนเซอร์ ค็อกซ์ (Spencer Cox) ตัวแทนจากรีพับลิกัน เป็นผู้เสนอร่างกฎหมาย และได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลามจากสมาชิกสภานิติบัญญัติ ส่งผลให้รัฐยูทาห์ (Utah) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนตะวันตกของสหรัฐฯ กลายเป็นรัฐแรกในประเทศ ที่ออกกฎหมายสนับสนุนการส่งเสียค่าเลี้ยงดูบุตรก่อนคลอด
อันที่จริง ก่อนหน้านี้รัฐยูทาห์ก็มอบสิทธิ์ให้หญิงตั้งครรภ์สามารถขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตรได้หลายทาง แต่การออกกฎหมายนับเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนประเด็นสวัสดิการในการตั้งครรภ์ ซึ่งเลียซา สต็อกเดล (Liesa Stockdale) ผู้อำนวยการสำนักงานบริการการเรียกคืน (Office of Recovery Services) เปิดเผยว่า กฎหมายฉบับนี้จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะทำให้หญิงตั้งครรภ์ได้รับความช่วยเหลือมากขึ้น ขณะที่เบรดี้ แบรมเมอร์ (Brady Brammer) ตัวแทนจากรีพับลิกัน หนึ่งในผู้สนับสนุนกฎหมายดังกล่าวระบุว่า นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้อัตราการทำแท้งของผู้หญิงลดน้อยลง
อย่างไรก็ตาม แม้เงื่อนไขต่างๆ ดูเหมือนจะสร้างขึ้นมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายหญิง แต่กฎหมายฉบับนี้ก็ให้ความเป็นธรรมกับฝ่ายชาย ด้วยการมอบโอกาสในการพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นพ่อทางสายเลือดของเด็กจริงหรือไม่ ซึ่งหากเกิดการโต้เถียงเช่นนี้ขึ้น ฝ่ายชายมีสิทธิ์ไม่จ่ายเงินใดๆ จนกว่าจะมีผลยืนยันว่าเขาเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเด็กในครรภ์จริงๆ นอกจากนี้ กฎหมายยังระบุว่า พ่อของเด็กสามารถไม่จ่ายเงินค่าทำแท้งได้ ในกรณีที่เขาไม่ยินยอมให้เกิดขึ้น ยกเว้นแต่การตั้งครรภ์จะผลส่งกระทบต่อชีวิตของแม่ หรือเกิดจากการข่มขืน
แม้กฎหมายฉบับนี้จะเป็นประโยชน์หลายข้อ แต่ในอีกมุมหนึ่ง นักวิจารณ์หลายคนมองว่ากฎหมายนี้ยังไม่ตอบสนองความต้องการของผู้หญิงได้มากพอ อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงตั้งครรภ์มากขึ้น
เคทรินา บาร์เกอร์ (Katrina Barker) โฆษกหญิงของสำนักงานการวางแผนครอบครัว (Planned Parenthood) กล่าวว่า เธอเห็นด้วยกับการเพิ่มเงินสนับสนุนให้กับหญิงตั้งครรภ์ แต่มองว่ายังมีวิธีที่ดีกว่านี้ที่จะช่วยให้ผู้หญิงสะดวกในการเลี้ยงดูบุตร และไม่ต้องเสี่ยงเผชิญหน้ากับความรุนแรง เช่น ระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้ยากจน (Medicaid) การเข้าถึงการคุมกำเนิด หรือสิทธิ์ในการลางานเพื่อเลี้ยงบุตร
บาร์เกอร์ยังกล่าวอีกว่า เธอไม่เชื่อว่ากฎหมายจะทำให้ผู้หญิงทำแท้งน้อยลง ค่าใช้จ่ายในการทำแท้งนั้นน้อยมาก เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเลี้ยงดูบุตร ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อย้อนดูข้อมูลจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 2015 พบว่า ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร แบบยังไม่รวมค่าเล่าเรียนในระบบมหาวิทยาลัยอยู่ที่ประมาณ 2.3 แสนดอลลาร์ หรือราวๆ 7.3 ล้านบาท ขณะที่บริการทำแท้ง มีตั้งแต่ทำแบบฟรี ไปจนถึงราคา 1 พันดอลลาห์ หรือประมาณ 3 หมื่นบาท ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาล และแผนประกันสุขภาพ
อ้างอิงจาก
https://apnews.com/…/us-news-utah-legislation-laws…
https://abcnews.go.com/…/utah-dads-required-pay-half…
https://www.bloomberg.com/…/utah-dads-to-be-required-to…