“สิ่งที่ผู้ป่วยต้องการมากที่สุด คือต้องทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว” ฮ่องเต้ – กนต์ธร เตโชฬาร ศิลปินและเจ้าของเพจ Art of Hongtae
.
ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่มีแววว่าจะดีขึ้นในเร็ววัน และความสูญเสียก็ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นี่สิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญใน COVID-19 ระลอก 3 ซึ่งความน่ากลัวของระลอกนี้คือถึงแม้เราจะพยายามป้องกันตัวเองดีแค่ไหนก็ตาม แต่เราก็อาจรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้โดยไม่รู้ตัว
.
ผลกระทบที่ตามมาคือความขาดแคลนทางการแพทย์ การที่ต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองได้รับการรักษาก่อนจะสายเกินไป รวมถึงสภาพจิตใจอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อคนรอบข้าง และความรู้สึกกลัวว่าจะถูกรังเกียจ ถูกแบ่งแยก แม้จะได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว
.
The MATTER ได้ติดต่อไปพูดคุยกับ ฮ่องเต้―กนต์ธร เตโชฬาร ศิลปินและเจ้าของเพจ
Art of Hongtae
ซึ่งเขาได้ทราบผลตรวจและเข้ารับการรักษา เมื่อวันที่ 12 เมษายน และได้กลับบ้านวันที่ 26 เมษายน โดยในระยะเวลาร่วม 2 สัปดาห์ที่อยู่ในโรงพยาบาล เขาได้จัดทำคลิป The Real Covid Diary ขึ้นมา ให้ผู้ติดตามได้เห็นบรรยากาศและการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย
.
ด้วยความสนใจจึงอยากให้เขาเล่าสิ่งที่ต้องเผชิญในระหว่างนั้น และสิ่งที่ COVID-19 ทิ้งไว้ในสภาพจิตใจของผู้ป่วย ซึ่งเป็นผลกระทบที่สำคัญไม่แพ้ทางกายภาพเลย
.
“ตอนที่ทราบผลตรวจผมรู้สึกแค่ว่าต้องรักษาให้หายก็เท่านั้นเอง ต้องเล่าก่อนว่าตอนผมตรวจเจอ ก่อนหน้านั้นผมมีอาการเยอะแล้ว มีไข้สูงมากประมาณครึ่งวัน หายใจลำบากพอสมควร แล้วก็เหนื่อยมาก เหมือนหายใจเข้าไปแล้วรู้สึกแสบหน้าอก ก็เลยไปที่โรงพยาบาล พอเขาตรวจก็เจอเชื้อเลย
.
“ถ้าพูดถึงความกังวล ผมแทบไม่เป็นอะไรเลย ผมเป็นห่วงคนอื่นมากกว่า โดยเฉพาะพ่อแม่กับตามาก ห่วงว่าช่วงที่เราไปเจอพวกเขา เราติดแล้วหรือยัง เพราะคุณตาก็อายุ 96 ปีแล้ว ถ้าเขาติดก็คงลำบากมากแน่ๆ พ่อแม่เองก็ไม่ได้สุขภาพดีมาก ก็มีความกังวล แต่พอทุกคนตรวจออกมาผลเป็นลบหมด เราก็วางใจแล้วล่ะ สุดท้ายก็มาเอาชีวิตตัวเองให้รอด
.
“ที่ทำคลิป The Real Covid Diary ขึ้นมา จริงๆ เราอยากให้เห็นบรรยากาศของการกักตัว มันอาจจะไม่ได้เป็นบรรยากาศที่ทุกคนได้ประสบเหมือนกันหมด ด้วยความที่พ่อเป็นหมอด้วย ก็เลยมีเข้าถึงการรักษาได้ตามปกติ รวดเร็ว แต่หลักๆ เราอยากให้คนดูเห็นว่าอาการเป็นยังไง อยากจะบันทึกไว้ว่าพอเราเป็น เรารู้สึกยังไง ต้องจัดการตัวเองยังไง อาการแต่ละวันเป็นยังไงบ้าง
.
“ซึ่งระหว่างที่อยู่ในนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรเลย กินๆ นอนๆ ส่วนตารางตรวจในแต่ละวัน เขาจะให้วัดไข้ทุก 2 ชั่วโมง แล้วก็ถามว่ามีอาการไอมั้ย เหนื่อยมั้ย เดินไปห้องน้ำแล้วหอบมั้ย อุจจาระกี่รอบ หลักๆ ก็มีวัดปริมาณออกซิเจน วัดอุณหภูมิร่างกาย และวัดชีพจร ทั้งหมดนี้ต้องวัดเองแล้วกดอินเตอร์คอมไปรายงานเจ้าหน้าที่
.
“แต่ก็จะมีช่วงที่ยากลำบากประมาณหนึ่ง ช่วงวันที่ 2 ถึงวันที่ 5 ของการอยู่ในโรงพยาบาล ไข้ขึ้นตลอดเวลาเลย ช่วงนั้นมีข่าวรายงานจำนวนคนเสียชีวิตเยอะมาก แต่ผมไม่ค่อยหดหู่นะ ผมจะมีความกังวลมากกว่าว่าคนที่เสียชีวิต สภาพร่างกายของเขาเป็นยังไง เท่าที่เห็นส่วนใหญ่จะมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคความดัน ส่วนเราเองก็มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานพอสมควร เพราะเราอ้วนมาก แล้วก็กินไม่บันยะบันยังเลย
.
“เคสของผมคือเชื้อลงปอดแล้ว ไอออกมาเสมหะมีเลือด ได้กินยาต้าน แต่ก็ไม่ได้ผล ต้องเป็นยาฉีดแทน นี่คืออาการของโควิด มันสามารถมีอาการรุนแรงได้อย่างรวดเร็ว ประมาทไม่ได้แม้แต่วันเดียว อาการมันสวิงมาก เพราะฉะนั้นอย่าชะล่าใจว่าไม่เป็นไรหรอก ต้องเช็คอัพเป็นรายชั่วโมงไปเลย มันไม่มีทางบอกได้เลยว่าสภาพคุณข้างในเป็นไงบ้างแล้ว
.
“ตอนนั้นก็มีความกลัวตายอยู่ครับ ตอนนั้นก็โพสต์เฟซบุ๊กว่ามีอะไรที่ยังอยากทำอยู่อีกเยอะเลย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับหดหู่มาก เพราะเราพยายามติดต่อสื่อสารกับโซเชียลมีเดียตลอดถึงแม้เราจะป่วย พยายามรักษาไม่ให้หัวเราฟุ้งซ่าน บ้างก็วาดรูป บ้างก็คุยกับเพื่อนๆ ที่เป็นเหมือนกัน เพราะช่วงที่เข้าโรงพยาบาลก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นเหมือนกัน
.
“ผมว่าสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการมากที่สุด คือต้องทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว หลายคนจะคิดว่าเป็นโควิดแล้วจะต้องอยู่ห่างจากสังคมหรือเปล่า จะได้ปลอดภัย อันนั้นเป็นเรื่องความรับผิดชอบที่จำเป็นจะต้องมีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ปัจจุบันได้เปรียบกว่าสมัยก่อนก็คือโซเชียลมีเดียทั่วถึง ข่าวสารว่องไว สื่อสารกับคนอื่นง่าย ถึงกักตัวแต่เรายังสามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ ถือว่าโชคดีมาก
.
“ผมได้รับกำลังใจจากครอบครัวเยอะมากเลย เขาเป็นห่วงเรามาก แน่นอนเพราะเราเป็นลูกเขา เราก็คิดว่าเขาก็ทำเต็มที่เพื่อเรา แล้วก็จะมีแฟนเพจและเพื่อนๆ ที่รู้ว่าเราป่วย จริงๆ ไม่ใช่แค่ผมนะที่ได้รับอะไรแบบนี้ คนอื่นที่เป็น ผมก็เห็นว่าในเฟซบุ๊กเขาก็มีคนมาให้กำลังใจเยอะมากเหมือนกัน เหมือนเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ผมว่าคนในโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ก็พร้อมให้กำลังใจกัน แล้วมันก็ไม่ได้เป็นวิธีการที่ยากเกินไป
.
“หลังจากกลับมาผมต้องอยู่บ้าน กักตัว 14 วัน ห้ามเจอใครเลย ดื่มน้ำเยอะๆ ทำร่างกายให้อบอุ่น ไม่อยู่ในที่อากาศไม่ถ่ายเท กินอาหารที่มีประโยชน์ หลักๆ ผมว่าโควิดมันแพ้ภูมิคุ้มกันร่างกายครับ ต้องสร้างภูมิใหม่ แล้วผมก็ไปยืนหน้าบ้าน รับแดด ปกติไม่ทำอะไรแบบนี้เลย ผมเป็นคนไม่ออกกำลังกายเลย กลับกัน ผมรู้สึกว่าผมต้องออกกำลังกายบ้างแล้ว (หัวเราะ) ไม่ถึงกับทำงานไม่ได้เต็มที่ แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูในเรื่องของการหายใจ
.
“ถามว่ากังวลจะถูกสังคมรังเกียจมั้ย ผมว่าผมรู้สึกกลับกัน คือผมต้องบอกทุกคนว่าผมเป็น ต้องบอกว่าเราเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลนะ เชื้อมันตายแล้ว แต่ก็ไม่มั่นใจ 100% หรือไม่ว่าจะกี่เปอร์เซนต์ก็ตาม ถ้าติดขึ้นมามันก็ยุ่ง มันเป็นไวรัสที่มีการพัฒนา เพราะฉะนั้นมันอาจจะเซนซิทีฟกับคนบางคน ยิ่งตอนอยู่โรงพยาบาลแล้วได้รู้อาการคนอื่น โห มันมีความหลากหลายตามมาก เหมือนปรับตัวตามแต่ละบุคคลเลย เพราะฉะนั้น การรับผิดชอบสังคมที่ดีที่สุดคือการบอกว่าเราติดโควิด แต่เรารักษาตัวเองเรียบร้อยแล้ว ผลเป็นลบแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัว
.
“จะห้ามให้ใครไม่รังเกียจคงทำไม่ได้ ควรเป็นสังคมของการเห็นอกเห็นใจกัน ไม่ประมาท และก็ป้องกันตัวเอง
.
“วันแรกที่รู้ผล ผมคุยกับเพื่อนๆ ว่า กูไม่ได้รู้สึกว่ากูจะอาการแย่เลย กูรู้สึกว่านี่กูทำใครติดบ้างวะ นี่คือสภาพจิตใจของคนติด ผมสามารถพูดแทนได้เลย ตอนเห็นไทม์ไลน์ผมทรมานใจมาก นี่กูต้องทำคนนี้หยุดงานหรอวะเนี่ย งานเขาต้องชะงักเพราะกูหรอวะเนี่ย กูไม่น่าเลย มันมีความรู้สึกแบบนั้นเยอะมาก ผมเขียนขอโทษเยอะมาก แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ยิ่งกว่าร่างกายคือจิตใจที่กังวล ผมเลยอยากจะบอกคนที่ติดว่าดูแลตัวเองให้หายเถอะ แล้วก็ไม่ต้องไปนั่งรู้สึกผิดเยอะ เดี๋ยวเขาก็ต้องหาทางจัดการตัวเองได้ ถึงจุดนั้นทุกคนก็น่าจะเข้าใจกัน
.
“การที่คนติดระลอกนี้เยอะ เพราะเราสามารถติดกันได้แบบงงๆ อย่างเราจับแบงค์ที่มีเชื้อโควิดอยู่ก็อาจติดได้ เชื้ออยู่ในอากาศได้ 5 นาที ถ้าเราไปอยู่ในห้องที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นโควิดหรือเปล่า เราหายใจร่วมกัน ก็สามารถติดได้ มันติดได้ง่ายสุดๆ เลย เพราะฉะนั้นผมเลยบอกกับทุกคนหลังจากออกมาหรือระหว่างที่รักษาอยู่ว่ามันติดง่ายมากนะ แล้วก็ทำร่างกายให้แข็งแรงเพื่อรอรับมัน
.
“ทางแก้ปัญหาของเรื่องนี้คือเราต้องช่วยๆ กัน หรือต้องไม่ประมาทกันทุกคน คือเราไม่ประมาทคนเดียว แต่คนอื่นประมาท ก็ติดอยู่ดี มันเป็นเรื่องของมวลรวม แล้วอย่างที่เห็นว่ารัฐบาลก็ช่วยอะไรเราไม่ได้เลย ทางด้านสาธารณสุขก็มีแรงงานและพลังที่จำกัดมากๆ หมอ พยาบาล ทำงานกันหนักมาก เทียบไม่ได้กับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น หรือสถานการณ์ที่แย่ลง คงต้องช่วยเหลือตัวเองเป็นเบสิกหลักเลย การล้างมือใส่หน้ากาก
.
“เมื่อวันก่อนเห็นรูปคนเดินห้างยังไม่ใส่หน้ากากเลย ผมว่า โห เก่งว่ะ มึงชะล่าใจได้เบอร์นั้นเลยหรอ ผมว่ามาตรการปรับเงินมันไม่ได้ช่วยเวรตะไลอะไรหรอกครับ มันไม่ได้สำคัญที่ว่าเสียเงินหรือไม่เสียเงิน มันสำคัญที่ว่าติดแล้ว และติดครั้งหนึ่งก็คือชีวิต 1 เดือนเต็มๆ ที่ต้องเสียไปกับการอยู่บ้านเฉยๆ ทำอะไรไม่ได้ แล้วสุขภาพจิตก็ตก มันไม่คุ้มค่ากันเลย
.
“ปัญหาเรื่องขาดแคลนเตียงทำให้เห็นว่าที่สำคัญกว่าคือสุขภาพจิต คนที่ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง กับคนที่รู้ชะตากรรมตัวเองมันต่างกันมาก คนที่เคว้งคว้างอยู่กลางทะเล กับคนที่มีไม้กระดานให้เกาะมันต่างกันสุดๆ การที่จะทำให้คนได้รับความมั่นใจว่าตัวเองจะได้รับการรักษาเยียวยาแน่ๆ นะ ไม่ได้ปล่อยให้รอตาย ผมว่าหลายคนตอนนี้กำลังรอตาย อยู่บ้านแล้วนอนคิดว่ากูจะตายตอนไหนวะ มีความหลอนๆ ประมาณหนึ่ง ผมว่าตรงนี้ต้องมีคนที่เข้ามาจัดการปัญหาได้แล้ว ต้องบอกได้แล้วว่าถ้าเป็น ต้องติดต่อใคร แล้วจะได้รับการรักษาแน่ๆ แต่มันยากมากๆ เลย
.
“นอกจากกระทบต่อจิตใจและสุขภาพ ผมว่าก็กระทบกับสายงานโดยตรงด้วย แกลอรี่ปิดหมด การแสดงงานถูกยกเลิก นี่ exhibiiton ของผมก็ต้องเลื่อนเหมือนกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้นะ ในแง่ของความปลอดภัย แต่ในแง่ของการเยียวยา ก็ไม่มีนโยบายอะไรที่เข้ามาเยียวยาศิลปะในประเทศนี้อยู่แล้ว ศิลปะไม่ได้รับการเหลียวแลมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทุกคนต้องเยียวยาตัวเอง ไม่ใช่แค่ศิลปะหรอก ทุกวงการเลย เราต้องดูแลตัวเองกันมาตลอด เขาดูแลแค่รถถัง จัดปาร์ตี้กันอยู่ดี ไม่ได้มีการโยกย้ายสมองมาไว้ทำอย่างอื่นเลย
.
“ในฐานะคนที่สร้างงานศิลปะก็งกๆ ทำไปครับ ถ้าเราหยุดปลูกข้าว คนก็ไม่มีข้าวกินครับ เราก็ช่างแม่งและทำงานศิลปะไป แล้วก็อย่าลืมด่าไปด้วย (หัวเราะ) ผมว่าการด่าเป็นการเคลื่อนไหวที่สำคัญมาก จะสังเกตได้ว่าเวลาโดนด่าเยอะๆ เขาจะทำ เราเห็นว่าช่วงหลายวันมานี้มีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเกิดจากการโดนด่าทั้งนั้น ถ้าได้ผลก็ด่าไปครับ”
.