การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า G7 ได้เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวานนี้ที่ผ่านมา (13 มิถุนายน) แต่ก็ใช่ว่าการประชุมจบ ทุกอย่างจะจบลงเสียทีเดียว เพราะการประชุมดังกล่าว ได้ทิ้งควันหลงให้ทั่วโลกได้จับตาต่อ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง G7 และประเทศจีน
สำหรับเหตุการณ์ตลอดการประชุม ไปจนถึงการโต้ตอบของฝั่งมหาอำนาจจากเอเชียจะเป็นเช่นไร The MATTER จะมาเรียบเรียงให้ฟัง
- การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ จัดขึ้นที่คอร์นวอลล์ สหราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 11-13 มิถุนายน ซึ่งหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของการประชุมที่หลายฝ่ายจับตามองคือ การหารือเพื่อถ่วงดุลอำนาจของจีนที่นับวันยิ่งขยายไปทั่วโลก
- โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของการประชุม G7 ได้เปิดเผยตั้งแต่แรกว่าเขามีความตั้งใจจะสกัดการขยายอำนาจของจีน โดยในที่ประชุม ไบเดนประกาศว่า เขาต้องการสร้าง Build Back Better World (B3W) ซึ่งเป็นโครงการที่จะจัดสรรเงินทุนจากรัฐและเอกชนทั่วโลก เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือ ถนน รถไฟให้กับประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งพอจะเดาได้ง่ายๆว่า B3W จะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น ‘กับดัก’ สร้างหนี้ให้ประเทศยากจน
- ผู้นำจากอังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (EU) ได้บรรลุข้อตกลงดังกล่าวร่วมกัน เป็นอันชัดเจนว่าหนึ่งในเป้าหมายหลังจากนี้ของ G7 คือการสกัด และถ่วงดุลการขยายอำนาจของจีน ประเทศคู่แข่งอันดับ 1 ของสหรัฐฯ ซึ่งหลังจากที่การบรรลุข้อตกลง เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ก็ออกมาเปิดเผยว่า B3W จะเอาชนะ BRI ของจีนด้วยการเป็นโครงการที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่า และครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก
- ไม่เพียงแต่ประเด็นเรื่องแผนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มผู้นำ G7 ยังได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้จีนเคารพสิทธิมนุษยชนชนกลุ่มน้อยมุสลิมอุยกูร์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ผู้เชี่ยวชาญต่างลงความเห็นตรงกันว่า จีนได้ควบคุมตัวชาวอุยกูร์และมุสลิมคนอื่นๆ มากกว่า 1 ล้านคน และนับตั้งแต่เกิดการปราบปรามที่ซินเจียงเมื่อปี ค.ศ.2017 มีชาวอุยกูร์อีกหลายพันคนถูกคุกคาม ด้วยการโดนทรมานทั้งร่างกายและจิตใจมาโดยตลอด แม้จีนจะออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาก็ตาม
- ในการแถลงของ G7 ยังพูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวฮ่องกง จากกรณีที่จีนผ่านกฎหมายความมั่นคงเมื่อปี ค.ศ.2020 ที่ผ่านมา ส่งผลให้การลงโทษผู้เห็นต่างนั้นทำได้ง่ายขึ้น บรรดาผู้นำกลุ่ม G7 ระบุว่า ฮ่องกงควรมีสิทธิในการรักษาเอกราชระดับสูง ตามที่กำหนดในข้อตกลงการส่งฮ่องกงกลับสู่จีนในปี ค.ศ.1997
- การแถลงยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของสิทธิและความมั่นคงในช่องแคบไต้หวัน ที่คั่นกลางระหว่างจีน – ไต้หวัน และเป็นเส้นทางเดินน้ำที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด โดยที่ผ่านมา ทั้งจีนและไต้หวันต่างมองสัมพันธ์ทางการเมืองต่างกัน จีนระบุว่า ไต้หวันเป็นมณฑลหนึ่งที่แตกแยกออกจากจีน ขณะที่ไต้หวันมองว่าตนเองเป็นประเทศ และมีเอกราชในตัวเอง
- นอกจากประเด็นสิทธิมนุษยชน G7 ยังเรียกร้องให้จีน ให้ความร่วมมือกับองค์กรอนามัยโลก (WHO) ในการสืบหาต้นตอการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสอย่างโปร่งใส และไม่ปิดบังข้อมูล หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีรายงานหลุดออกมาว่าโคโรนาไวรัสอาจหลุดออกมาจากห้องแล็ปจีน โจ ไบเดน จึงสั่งให้มีการสอบสวนต้นตอใหม่อีกครั้ง ส่งผลให้บรรยากาศการเมืองระหว่างจีน และสหรัฐฯ ยิ่งระอุขึ้นอีก
- หลังจากแถลงการณ์ของ G7 ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ โฆษกของสถานทูตจีนในกรุงลอนดอน ของสหราชอาณาจักร ได้ออกมาประณามการกระทำดังกล่าว โดยระบุว่า ถ้อยแถลงของผู้นำ G7 เป็น “ข้อกล่าวหาที่ไร้เหตุผล” และเรียกร้องให้นานาประเทศหยุดใส่ร้าย รวมถึงยุติการแทรกแซงกิจการภายใน และหยุดทำลายผลประโยชน์ของจีน
- สำนักข่าว Reuters จะยังรายงานว่า โฆษกสถานทูตจีนในกรุงลอนดอนได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ยุคสมัยที่กลุ่มประเทศ ‘เล็กๆ’ จะมีอำนาจตัดสินใจเรื่องระดับโลกมันผ่านไปตั้งนานแล้ว” พร้อมเสริมว่า “เราเชื่อเสมอว่าประเทศต่างๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เข้มแข็งหรืออ่อนแอ คนจนหรือคนรวย มีความเท่าเทียมกัน และกิจการของโลกควรได้รับการจัดการผ่านการปรึกษาหารือของทุกประเทศ”
- การแสดงออกของกลุ่ม G7 โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีนดูจะแข็งกร้าวต่อกันมากขึ้น ขณะที่ร็อบ วัตสัน นักข่าวการเมืองของสำนักข่าว BBC ที่เข้าไปสังเกตการณ์การประชุมระบุว่า ท่าทีของโจ ไบเดนนั้นแสดงออกชัดเจนว่ากำลังพยายามขีดเส้นโลกหลังการระบาด COVID-19 ให้เป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตย และเผด็จการ
- แต่แม้ว่าแถลงการณ์จะออกมาดูเลือกข้างชัดเจน แต่ร็อบ วัตสัน ระบุว่าผู้นำสมาชิกกลุ่ม G7 ยังไม่ได้ลงฉันทามติว่าจะจัดจีนอยู่ในจุดของพันธมิตร คู่แข่ง หรือภัยคุกคามความมั่นคง
- อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ที่ประชุมประเทศสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO ซึ่งกำลังจะจัดขึ้นในไม่ช้า ได้เตรียมออกมาแสดงจุดยืนถึงประเด็นดังกล่าว โดยเยนส์ สทอลเทนแบร์ก (Jens Stoltenberg) เลขาธิการ NATO ออกมาแถลงว่า จีนไม่ได้มีจุดยืนเดียวกับกับประเทศสมาชิก และเราเห็นว่าจีนกำลังรุกคืบเข้ามา ดังนั้นจึงจะมีการตอบโต้ในฐานะพันธมิตร ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทูตระบุว่า แถลงการณ์ฉบับสุดท้ายของ NATO จะไม่เรียกจีนว่าศัตรู แต่จะเป็นการแสดงความกังวลถึงแนวทางปฏิบัติของจีนที่เรียกว่า ‘ท้าทายเชิงระบบต่อความมั่นคงของภูมิภาคแอตแลนติก’
อ้างอิงจาก
https://www.theguardian.com/…/g7-leaders-seek-right…
https://www.bbc.com/news/world-asia-china-57458822
https://www.reuters.com/…/g7-counter-chinas-belt-road…/
https://www.scmp.com/…/china-puts-tough-face-us-presses…
https://www.bbc.com/news/world-asia-china-57466576…