ไม่กี่วันมานี้ มีความพยายามนำชุดข้อมูล การพบผู้ติดเชื้อในอิสราเอล มาเปรียบเทียบกับไทย ว่าทั้งๆ ที่อิสราเอลมีการฉีดวัคซีน mRNA อย่างครอบคลุม แต่ยังกลับพบการติดเชื้อ ทำให้มีผู้เชี่ยวชาญออกมาชี้แจงว่า การเปรียบดังกล่าวนั้นทำไม่ได้ และกรณีของอิสราเอลถือว่าเป็นเรื่องปกติ
กระแสการเปรียบเทียบ มีการยกตัวอย่างอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศที่ทำการฉีด Pfizer แบบปูพรมครบโดสให้แก่ประชาชน แต่กลับพบว่า ผู้ติดเชื้อใหม่กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ กลับเป็นผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนว่า วัคซีน Pfizer ที่ผลิตจากเทคโนโลยี mRNA มีประสิทธิภาพดีจริงหรือไม่
ทั้งนี้ นพ.มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่ออธิบายตามหลักวิชาการว่า หากมีความเข้าใจในเรื่องโรคระบาด การพบผู้ติดเชื้อใหม่ วันละ 290-300 ราย ในอิสราเอล ทั้งๆ ที่มีอัตราการฉีดวัคซีน ที่ครอบคลุมคนส่วนใหญ่ของประเทศนั้น เป็นเรื่องปกติ แถมอาจจะเป็น “ข่าวดี” ด้วยซ้ำไป
นพ.มานพ ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ กับการระบาดหนักของสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) ในอิสราเอล เมื่อช่วงปลาย ค.ศ.2020 จนต้น ค.ศ.2021 จนมีการติดเชื้อกว่าวันละหลายพันคน รัฐบาลอิสราเอลได้ตัดสินใจล็อกดาวน์ และปูพรมฉีด Pfizer ให้แก่ประชาชน จนสถานการณ์การติดเชื้อในอิสราเอลถูกควบคุมไว้ได้ และประชาชนสามารถกลับมารวมตัวกัน ตลอดจนการยกเว้นการใส่หน้ากากในที่โล่ง ทุกอย่างเข้าใกล้ภาวะปกติ จนกระทั่งเชื้อเดลตา (อินเดีย) เริ่มเข้ามาระบาดในอิสราเอล
ถึงแม้เชื้อเดลตาจะเข้ามาระบาดในอิสราเอล แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์อัลฟาเดิม ที่พบว่าเดลตาสามารถระบาดได้เร็วและดื้อวัคซีนมากกว่า แต่กลับพบการติดเชื้อใหม่ในอิสราเอล เพียงแค่ 290-300 ราย ต่อวัน นี่จึงเป็นข่าวดีว่า วัคซีนที่ปูพรมฉีดไปจนครบโดส ควบคุมสถานการณ์ไม่ให้อิสราเอลมีการแพร่เชื้อของเดลตาอย่างหนักได้อย่างดี นี่คือผลพวงจากการเกิดภูมิต้านทานหมู่ เมื่อประชาชนได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพ ที่สามารถกันการป่วยหนัก กันการตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กันการติดเชื้อ
Bloomberg รายงานว่า นายกรัฐมนตรีของอิสราเอลอย่าง นาฟทาลี เบนเน็ตต์ ตัดสินใจใช้นโยบายการฉีด Pfizer ให้ครอบคุลมประชากรของตัวเองต่อไป แทนการกำหนดมาตรการปิดสถานที่ต่างๆ หรือการออกกฎข้อห้ามต่อประชาชน จากรายงานยังระบุอีกว่า ตัวเลขการติดเชื้อวันละ 200-300 รายในอิสราเอล ไม่ได้มีความหมายสำคัญในเชิงสถิติ ซึ่งต่างจากอัตราผู้ป่วยหนัก และเสียชีวิตในอิสราเอล ที่มีน้อยมาก
“เรารู้ว่าวัคซีนได้ผล” เบนเน็ตต์กล่าว ช่องโหว่ที่อิสราเอลกำลังเผชิญอยู่ ไม่ใช่การติดเชื้อใหม่วันละ 200-300 ราย แต่คือคนอายุน้อยที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังอิสราเอล รัฐบาลอิสราเอลได้ตั้งเป้าหมายใหม่ เพื่อที่จะทำการฉีดวัคซีนให้แก่คนอายุน้อย ในอัตราให้ได้ 60 เปอร์เซ็นต์ ก่อนการเปิดเทอม โดยรัฐบาลยังคงเรียกร้องให้ประชาชน ออกมารับการฉีดวัคซีนของ Pfizer ที่รัฐบาลจัดหามาให้
นพ.มานพ ระบุเพิ่มเติมว่า วัคซีนของ Pfizer ไม่ได้มีคุณภาพลดลง เพราะยังมีหลักฐานบ่งชี้ชัดเจนว่า “ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว มีโอกาสติดเชื้อน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนมาก” ทั้งนี้ จากข้อมูลการระบาดปัจจุบัน มีการพบว่า ประสิทธิผลของวัคซีน Pfizer ต่อการป่วยจากเชื้อกลายพันธุ์เดลตา อยู่ที่ราว 85 เปอร์เซ็นต์
วิธีการกระจายวัคซีนก็ส่งผลต่อการระบาด นพ.มานพ เปรียบเทียบการระบาดในสหราชอาณาจักร ที่ใช้ยุทธศาสตร์การฉีดโดสแรกให้ได้มากที่สุด ต่างจากอิสราเอล ที่เร่งฉีด Pfizer ให้ครบโดส ในประชากรของตัวเอง พบว่า สหราชอาณาจักรกลับมาการติดเชื้อเดลตา ที่เพิ่มสูงมากขึ้น ทำให้พบว่า การรับภูมิคุ้มกันบางส่วน จากการฉีดวัคซีนเพียงโดสเดียว อาจจะสามารถยับยั้งการระบาดของสายพันธุ์อัลฟาได้ แต่ไม่สามารถยับยั้งสายพันธุ์เดลตาได้มากนัก อย่างไรก็ตาม การรับภูมิคุ้มกันบางส่วน ยังมีประโยชน์ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อ มีโอกาสการป่วยหนักและเสียชีวิตน้อยลงอย่างชัดเจน
การเปรียบเทียบว่าอิสราเอล ที่มีการฉีดวัคซีนแบบ mRNA ก็ยังมีการติดเชื้อ จึงเป็นการเปรียบเทียบที่พูดได้ยาก เนื่องจากตัวเชื้อเดลตาเอง ที่แพร่ระบาดได้เร็ว และดื้อวัคซีนได้มากขึ้น กลับมีการติดเชื้อใหม่แค่ไม่กี่ร้อยราย ในประเทศที่มีการฉีด Pfizer ให้แก่ประชาชน ต่างจากหลายประเทศ ที่มีการฉีดวัคซีนเทคโนโลยีอื่น ซึ่งมีประสิทธิภาพป้องกันเชื้อเดลตาต่ำกว่า กรณีของอิสราเอล จึงเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ของผลลัพธ์จากการปูพรมฉีดวัคซีนคุณภาพสูง ให้ครบโดสแก่ประชาชน จนอิสราเอลเข้าใกล้กับคำว่า ‘วิถีชีวิตแบบปกติ’ มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในทุกวัน
อ้างอิงจาก
https://www.facebook.com/manopsi/posts/10161066111538448
#Brief #TheMATTER