นับตั้งแต่มีการยืนยันว่าสหรัฐฯ จะส่งมอบวัคซีน 1.5 ล้านโดสมาให้ไทย หนึ่งในคำถามที่หลายคนต่างสงสัยคือ แพทย์ด่านหน้าจะได้เท่าไหร่?
ซึ่งคำถามนี้กลายเป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง หลังมีคนตั้งข้อสังเกตว่า วัคซีนบางส่วนของล็อตนี้จะถูกนำไปเข้าร่วมโครงการวิจัยหนึ่ง ซึ่งจะมีการแบ่งวัคซีน Pfizer ไปให้กลุ่มแพทย์ตำแหน่งสูง แทนที่จะนำมาฉีดให้แพทย์ด่านหน้าที่ต้องเจอผู้ป่วยจริงๆ
เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นหลังมีอาจารย์แพทย์จากโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่าตัวเองได้เข้าร่วมโครงการวิจัยหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นโครงการวิจัยการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันและความปลอดภัยหลังรับวัคซีนบุคลากรทางการแพทย์ และตัดสินใจรับวัคซีนไฟเซอร์ สำหรับกระตุ้นเข็มที่ 3 แทนที่จะเป็น AstraZeneca ที่สามารถฉีดได้เลย และไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงระหว่างรอวัคซีน Pfizer ที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่
หลังมีการแชร์โพสต์นี้ออกไป เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมายจนแฮชแท็ก #ริมน้ำ ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ ผู้ใช้โซเชียลเริ่มตั้งคำถามถึงการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 1.5 ล้านโดสว่าสรุปจะมีการแบ่งสัดส่วนอย่างไรบ้าง และแพทย์ด่านหน้าจะได้รับจริงๆ เท่าไหร่
รวมถึงมีการเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลการจัดสรรวัคซีน และโครงการวิจัยที่ว่านี้ ถึงรายละเอียดทั้งหมด ตั้งแต่หลักเกณฑ์การคัดเลือกอาสาสมัคร ว่าประกอบไปด้วยกลุ่มอาชีพใด จำนวนเท่าไหร่ รวมไปถึงรายงานผลวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนเข้าใจหลักเกณฑ์และการทำงานอย่างชัดเจน
ขณะที่ประชาชนบางส่วนตั้งคำถามว่า หากวัคซีนไฟเซอร์ ที่นำมาใช้ในโครงการวิจัยเป็นวัคซีนล็อตที่นำเข้าจากสหรัฐฯ การทำอย่างนี้ถือว่าละเมิดมติ ศบค. หรือไม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ กรมควบคุมโรคออกประกาศแนวทางบริหารจัดการวัคซีนบริจาคจากต่างประเทศ ซึ่งระบุชัดเจนว่า คนที่เข้าเกณฑ์ฉีดวัคซีนนี้ต้องเป็น บุคลากรแพทย์ด่านหน้า ผู้สูงอายุและผู้มีโรคเรื้อรัง ชาวต่างชาติที่อาศัยในไทย (เน้นผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเรื้อรัง) และผู้ที่มีความจำเป็นต้องฉีด ซึ่งไม่มีข้อมูลว่า ‘สำหรับการวิจัย’ ในประกาศนี้
ประกอบกับบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า การที่อาสาสมัครในโครงการวิจัยจึงสามารถเลือกได้ว่าจะฉีดวัคซีนชนิดไหน ทั้งที่โดยทั่วไปแล้วการวิจัยจะไม่ให้กลุ่มทดลองรู้รายละเอียด หรือเลือกวัคซีนเองได้ แท้จริงแล้วจุดประสงค์ของการวิจัยนี้คืออะไร
นอกจากนี้ ยังมีบุคลากรแพทย์บางกลุ่มออกมาเปิดเผยว่า แพทย์ด่านหน้าส่วนใหญ่ถูกกระตุ้นให้ฉีดวัคซีน AstraZenaca ก่อน โดยไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะรอไฟเซอร์หรือไม่ และแม้ว่าจะมีการเปิดให้อาสาสมัครเข้าร่วมโครงการวิจัยดังกล่าวจริง ก็ไม่สามารถเลือกได้ว่าจะฉีดไฟเซอร์อยู่ดี
นี่เป็นเพียงการตั้งขอสังเกตคร่าวๆ จากผู้ใช้โซเชียลมีเดียถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบโครงการวิจัย รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการวัคซีน ต้องออกมาตอบคำถามประชาชนให้ชัดเจนและโปร่งใสที่สุด ถึงแนวทางการบริหารไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส
เพราะอย่างที่หลายคนรู้กันว่าในเวลานี้ วัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการต้าน COVID-19 กลายพันธุ์อย่างเดลตานั้นมีจำกัด และประชาชนส่วนใหญ่มองว่า หากมีวัคซีนที่ดีเข้ามาควรทุ่มทรัพยากรเหล่านี้ไปให้แพทย์ด่านหน้าที่เจอเคสจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ แพทย์คือหัวใจสำคัญของการต่อสู้กับวิกฤต COVID-19
อ้างอิงจาก
https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=19493&deptcode=brc
https://www.posttoday.com/social/general/657731
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/948153
https://twitter.com/ong_biscuit/status/1415241445703704576
https://twitter.com/wirojlak/status/1415335339334402049
https://twitter.com/p_dissakul/status/1415186612942557187
https://twitter.com/KparadiseK/status/1415251322027200514