ภาวะรวยกระจุกจนกระจาย เกิดขึ้นให้เห็นได้ในไทย ซ้ำเติมปัญหาการจัดการสถานการณ์ การแพร่ระบาดของ COVID-19 ของรัฐบาล โดยธนาคารโลกได้ออกมาให้คำแนะนำว่า รัฐบาลไทยควรเพิ่มอัตราการเก็บภาษีคนรวย เพราะอาจจะนำเงินส่วนนี้มาช่วยบริหารวิกฤต COVID-19 ได้
สำนักข่าว Voice of America ระบุว่า ธนาคารโลกได้แนะนำให้รัฐบาลไทย เพิ่มอัตราการเก็บภาษีคนรวยในประเทศ เพื่อที่เงินภาษีในส่วนนี้ จะสามารถนำไปช่วยชำระหนี้ ที่เกิดขึ้นจากการบริหารสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทย รวมถึงค่าวัคซีนด้วยเช่นกัน
ธนาคารโลกยังได้ระบุอีกว่า ด้วยงบประมาณจากการบริหารสถานการณ์ COVID-19 ของรัฐบาลไทย ทั้งในการดำเนินมาตรการรับมือ และการป้องกันโรค ทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้อยู่กว่า 1.4 ล้านล้านบาท ในขณะที่มีรายงานจาก Forbes เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2564 ระบุว่า 50 มหาเศรษฐีของไทย กลับรวยขึ้นกว่าปีก่อนถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดตลอดปีที่ผ่านมา
รายงานจาก Hurun Rich List ระบุว่า ไทยเป็นประเทศเดียวในอาเซียน ที่มีมหาเศรษฐีพันล้านเหรียญสหรัฐฯ กว่า 52 คน แซงหน้า อิตาลี ญี่ปุ่น และ สิงคโปร์ ในขณะที่หลายมหาเศรษฐีไทย ได้เดินหน้าขยายความมั่งคั่งของตัวเอง ในภาวะการระบาดของ COVID-19 ต่อไปเรื่อยๆ
ในทางตรงกันข้าม Voice of America ระบุว่า ประเทศไทยกลับมีอัตราการว่างงานพุ่งสูงขึ้น ตลอดจนหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นถึง 90 เปอร์เซ็นต์ แต่รัฐบาลกลับมีการเก็บภาษีนิติบุคคลแค่เพียง 20 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยไม่มีการเก็บภาษีกำไรที่ได้จากการขายทรัพย์สินอีกด้วย
ธนาคารโลกได้ออกมาแนะนำรัฐบาลไทยว่า รัฐบาลอาจมีความจำเป็น ที่จะต้องกู้เงินเพิ่มขึ้นไปอีก เนื่องจากไทยมีอัตราการฉีดวัคซีนที่ช้า ในขณะที่การแพร่ระบาดของเชื้อเดลตา กำลังทำให้มีอัตราผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตพุ่งสูงมากขึ้นเรื่อยๆ คิม เอ็ดเวิร์ด นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ของธนาคารโลกระบุว่า รัฐบาลไทยควรจะหันมาเก็บภาษี จากบุคคลที่มีความมั่งคั่งสุทธิสูงสุด และทำการปฏิรูปมาตรการลดหย่อนต่างๆ อย่างเป็นระบบ
เอ็ดเวิร์ดชี้ว่า การเก็บแต่ภาษีบุคคลธรรมดา จะไม่ช่วยให้ไทยสามารถพยุงฐานะทางการเงินของตัวเองเอาไว้ได้ การเรียกเก็บภาษีตามกฎหมาย การปรับขึ้นอัตราภาษีช่วงบน และการเพิ่มอัตราภาษีสำหรับกำไรจากการขายสินทรัพย์ จึงอาจจะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลได้
ธนาคารโลกยังได้ประเมินอีกว่า เศรษฐกิจไทยอาจจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ ด้วยอัตรา 2.2 เปอร์เซ็นต์ หากรัฐบาลไทย สามารถควบคุมการแพร่ระบาดจาก COVID-19 ได้ แต่ถ้าหากควบคุมไม่ได้ เศรษฐกิจของไทยก็อาจเติบโตลดลงเหลือแค่ 1.2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ในระดับภูมิภาค
Voice of America ระบุว่า รัฐบาลไทยทำการกู้เงินก้อนใหญ่อีกครั้งไปแล้ว และเริ่มนำเงินก้อนนั้นมาใช้จ่ายและเยียวยาเศรษฐกิจ ตั้งแต่ช่วงเมษายนที่ผ่านมา โดยรัฐบาลหวังว่าจะสามารถกอบกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ อย่างไรก็ดี ด้วยอัตราการฉีดวัคซีนที่ล่าช้า และเชื้อเดลตาที่เข้ามาระบาดในไทย ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม การเก็บภาษีคนรวยจึงอาจเป็นอีกหนึ่งคำตอบในตอนนี้
อ้างอิงจาก
https://www.thansettakij.com/vdo/487069
https://www.hurun.net/en-US/Info/Detail?num=LWAS8B997XUP
#Brief #TheMATTER