ไฮไลต์ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันสุดท้าย (3 ก.ย.2564) อยู่ที่การคำอภิปรายของ ‘โรม-รังสิมันต์ โรม’ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งกล่าวหา ‘ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์’ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เกี่ยวกับการเอื้อประโยชน์ธุรกิจดาวเทียมให้กับบริษัทเอกชนบางราย ภายหลังสัมปทานดาวเทียมไทยคมที่ทำไว้ 30 ปี จะสิ้นสุดลงในวันที่ 10 ก.ย.2564
รังสิมันต์ ประกาศผ่านเพจเฟซบุ๊กไว้ตั้งแต่วานนี้ว่า การอภิปรายครั้งนี้จะ “ทะลุเพดาน..สูงสุดเท่าที่เคยอภิปรายมา”
The MATTER ขอสรุปให้อ่านกันว่า สิ่งที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลรายนี้อภิปราย มีสาระสำคัญอะไรบ้าง ทะลุเพดานจริงไหม และผู้ถูกอภิปรายจะมีคำตอบว่าอย่างไร
#สิ้นสุดสัมปทานดาวเทียมไทยคม #จุดเริ่มต้นของปัญหา
1.) โรมเริ่มอภิปราย โดยย้อนอดีตไปสมัยปี 2534 ซึ่งมีการทำสัญญาสัมปทาน ‘ดาวเทียมไทยคม’ ระหว่าง บ.ชินวัตร คอมพิวเตอร์ ของทักษิณ ชินวัตร กับรัฐบาล รสช. (แต่โครงการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2533 ก่อน รสช.ยึดอำนาจ) โดยมีการทำสัญญาสัมปทานกับกระทรวงคมนาคม ซึ่งมีอายุสัญญา 30 ปี ในวันที่ 11 ก.ย.2534
ซึ่งแปลว่า จะอายุสัญญาสัมปทานในวันที่ 10 ก.ย.2564 .. ‘วันที่’ เหล่านี้มีความสำคัญ โปรดจำไว้ให้ดี
2.) สัญญาสัมปทานฉบับนั้น มีใจความสำคัญคือ บ.ชินวัตรฯ จะเป็นผู้ยิงดาวเทียมพร้อมบริหารจัดการสัญญาณดาวเทียมในระยะเวลา 30 ปี และเมื่อสัญญาสิ้นสุด ดาวเทียมทุกดวงที่สร้างจะต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกระทรวงคมนาคม โดยจะต้องส่งมอบดาวเทียมที่ในสภาพใช้งานได้สมบูรณ์
3.) ปัจจุบันหน่วยงานของรัฐที่ดูแลกิจการดาวเทียม ได้โอนจากกระทรวงคมนาคม มาอยู่กับกระทรวงดิจิทัลฯ ส่วน บ.ชินวัตรฯ ก็เปลี่ยนชื่อเป็น บ.อินทัช โฮลดิ้ง โดยมีการตั้งบริษัทใหม่มาดำเนินกิจการดาวเทียมโดยเฉพาะคือ บ.ไทยคม (และเจ้าของก็เปลี่ยนมือจากทักษิณไปเป็นคนอื่นตั้งแต่ปี 2549 แล้ว หลังขายหุ้นออกไปล็อตใหญ่)
4.) ก่อนจะถึงวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทานไทยคม วันที่ 10 ก.ย.2564 บ.อินทัช ยังมีข้อพิพาทกับกระทรวงดิจิทัลฯ 3 คดี ได้แก่
- คดีหมายเลขดำที่ 97/2560 (เรื่องสิทธิความเป็นเจ้าของดาวเทียมไทยคม 7,8 หลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานที่ บ.อินทัชฯ เป็นผู้ฟ้อง)
- คดี A27/2020 (เรื่องการชดใช้ความเสียหายดาวเทียมไทยคม 5 กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นผู้ฟ้อง)
- คดีหมายเลขดำที่ 93/2563 (เรื่องการชดใช้ความเสียหายดาวเทียมไทยคม 5 บ.ไทยคมฯ เป็นผู้ฟ้องกลับกระทรวงดิจิทัลฯ ในคดี A27/2020)
ซึ่งทั้งหมดต้องเข้ากระบวนการหาข้อยุติกรณีพิพาท ด้วยกลไกของ ‘อนุญาโตตุลาการ’ ที่โรมจะไล่เรียงต่อไปว่า มันเป็นปัญหาอย่างไร
#อนุญาโตตุลาการ
5.) ตามปกติแล้ว กลไกอนุญาโตฯ คือการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญาต่างๆ โดยแต่ละฝ่ายจะเลือกตัวแทนมาพิจารณากรณีพิพาทดังกล่าว ซึ่งหน่วยงานรัฐมักใช้บริการคนจากสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) และกรณีนี้ก็เช่นกัน
6.) ก่อนหน้านั้น มีการตั้งอนุญาโตฯ จากฝ่ายรัฐไว้แล้ว 2 คดี แต่หลังจากชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ เข้ารับตำแหน่ง รมว.ดิจิทัลฯ ในเดือน มี.ค.2564 ระหว่างที่จะมีการตั้งอนุญาโตฯ ในคดีที่สาม ก็มีขอให้เปลี่ยนตัวอนุญาโตฯ จากฝ่ายรัฐให้เป็นคนเดียวกันหมดทั้ง 3 คดี โดยอ้างว่าเพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปในทางเดียวกัน
7.) คนที่ถูกเสนอให้เข้ารับตำแหน่งอนุญาโตฯ ในทั้ง 3 คดี ก็คือ ’วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์’ อสส.คนปัจจุบัน ซึ่งโรมมีข้อสังเกตหลายประการ แต่ที่เขาเน้นคือการที่วงศ์สกุลเคยเรียนหลักสูตรนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย (นธป.) ของวิทยาลัยศาลรัฐธรรมนูญ – ที่โรมบอกว่าเป็นหลักสูตร “เอาไว้หาคอนเน็กชั่น” – รุ่นที่ 6 ปี 2561 ร่วมกับคนที่สมัยเรียน ม.ปลาย เพื่อนๆ เรียกว่า ‘นายแย้ม’ ผู้บริหารบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นจำนวนมากใน บ.ไทยคม
8.) อย่างไรก็ตาม วงศ์สกุลขอถอนตัวจากการเป็นอนุญาโตฯ โดยอ้างว่ามีภารกิจมาก ก่อนจะตั้งเสนอตั้งบุคคลอื่นให้มาเป็นแทน แต่กระทรวงดิจิทัลฯ ไม่เห็นด้วย และมีการเสนอตั้ง ‘อดีตอธิบดีอัยการ’ คนหนึ่งขึ้นมาเป็นอนุญาโตฯ แต่โรมก็บอกว่า คนๆ นี้ก็เป็นศิษย์เก่าหลักสูตร นธป. รุ่น 7 ปี 2562 ร่วมรุ่นกับ ‘ประเสริฐ บุญสัมพันธ์’ ซีอีโอ บ.ไทยคม และ ‘พรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์’ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ถือหุ้นจำนวนมากใน บ.ไทยคม
9.) โรมบอกว่า อดีตอธิบดีอัยการรายดังกล่าว เคยอยู่ในทีมที่ อสส.ตั้งมาเพื่อสู้คดีแทนกระทรวงดิจิทัลฯ ซึ่งอาจขัดกับคุณสมบัติอนุญาโตฯ เรื่อง ‘ความเป็นกลาง’ ที่หากชี้ขาดให้ บ.ไทยคมชนะ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าแพ้ บ.ไทยคมก็อาจไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าวได้จากข้ออ้างนี้ จนอาจทำให้เกิดความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท
10.) ส.ส.พรรคก้าวไกลรายนี้ ฝากคำถามไปยัง รมว.ดิจิทัลฯ ว่า นี่คือการจงใจล้มคดีเพื่อเอื้อประโยชน์ไปยังบริษัทเอกชนบางแห่ง ใช่หรือไม่
#สัมปทานจำแลง
11.) ยังจำวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทานดาวเทียมไทยคมกันได้ใช่ไหม? – 10 ก.ย.2564
หลัง คสช.รัฐประหารในปี 2557 มีการตั้งคณะกรรมการอวกาศแห่งชาติ เพื่อคัดเลือกบริษัทเอกชนที่จะมาบริหารจัดการดาวเทียมไทยคมหลังสิ้นสุดสัมปทานเดิม ในรูปแบบ PPP หรือร่วมทุนรัฐ-เอกชน แต่ไม่สามารถหาได้ จึงมีคนเสนอให้ บ.กสท โทรคมนาคม หรือ CAT มาเป็นผู้บริหารจัดการแทน โดยปัจจุบัน CAT ได้รวมกิจการกับ บ.ทีโอที หรือ TOT และตั้งเป็น บ.โทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ NT
12.) วันที่ 13 พ.ค.2564 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นประธาน และชัยวุฒิในฐานะ รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมประชุมด้วย มีมติเห็นชอบให้ NT เป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของดาวเทียมไทยคมหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน และได้ลงนามไป วันที่ 30 ก.ค.2564
13.) ต่อมา มีข่าวว่า บ.ไทยคมไปเจรจากับ NT เพื่อขอเป็นผู้บริหารจัดการดาวเทียมไทยคม 4 และ 6 หลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน และ NT เองก็รับข้อเสนอ ทั้งที่ NT เคยบอกว่าบริษัทของตัวเองมีศักยภาพจะดำเนินการ แต่เรื่องนี้กลับวนมาที่ บ.ไทยคมฯ อีกครั้ง
โดยโรมใช้คำเรียกว่า ไม่ต่างกับเป็น ‘สัมปทานจำแลง’ – คือสิ้นสุดสัญญาสัมปทานไปแล้ว แต่ บ.ไทยคมก็ยังได้บริหารจัดการดาวเทียมต่อไปอยู่ดี
โดย NT จะจ้าง บ.ไทยคมบริหารด้วยเงิน 200 ล้านบาท/ปี ส่วนบริษัทลูกของ บ.ไทยคมจะซื้อความจุช่องสัญญาณในสัดส่วน 80% ด้วยวงเงิน 283 ล้านบาท/ปี แปลว่าสุดท้าย บ.ไทยคมจะจ่ายให้กับ NT เพียง 83 ล้านบาท/ปีเท่านั้น ทั้งที่รายได้จากสัญญาสัมปทาน ซึ่งรัฐได้จากดาวเทียมไทยคม 4 และ 6 ในปัจจุบันอยู่ที่ 559 ล้านบาท/ปี แปลว่าเงินหายไปราว 476 ล้านบาท/ปี
14.) โรมบอกว่า แท้จริงแล้วชัยวุฒิยังมีทางเลือกอื่นๆ เช่น เปิดประมูลให้บริษัทเอกชนรายใหม่ๆ เข้ามาบริหารจัดการดาวเทียมไทยคมแทน หรือเขียนไว้ในสัญญาที่จะให้ NT บริหารจัดการดาวเทียมไทยคมว่าห้ามเช่าช่วงต่อ แต่ รมว.ดิจิทัลฯ กลับไม่ทำ
15.) ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อ NT ไปยื่นขอใบอนุญาตวงโคตรดาวเทียมจาก กสทช. ปรากฎว่าก็ยังไม่ได้รับใบอนุญาต เนื่องจากขาดเอกสารบางอย่างที่ บ.ไทยคมยังไม่ส่งมอบให้ โดย กสทช.จะประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ในวันที่ 8 ก.ย.2564 เฉียดฉิวกับวันสิ้นสุดอายุสัญญาสัมปทานมากๆ
#ปฏิบัติการทดแทนบุญคุณ
16.) โรมยังพาดพิงถึงบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซี่งชัยวุฒิเคยทำงานด้วยตอนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง (จากการเป็นกรรมการบริหารพรรคชาติไทยที่พรรคถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบ) และตั้งแต่ต้นปี 2564 บริษัทนั้นได้ทยอยซื้อหุ้น บ.อินทัชฯ ที่เป็นบริษัทแม่ของ บ.ไทยคม จนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในปัจจุบัน – ว่ามีการเอื้อประโยชน์อะไรกันหรือไม่
17.) โดยความเชื่อมโยงระหว่าง บริษัทเอกชนดังกล่าวกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เห็นได้จากเมื่อปี 2559 เคยบริจาคเงินให้กับมูลนิธิที่ พล.อ.ประวิตร หัวหน้า พปชร.คนปัจจุบัน ใช้ดำเนินกิจการทางการเมือง เป็นเงิน 5 ล้านบาท และในการแจกจ่ายข้าวกล่องของกานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ ส.ส.กทม. พปชร. ภรรยาของชัยวุฒิ ให้กับผู้เดือดร้อนจากโควิด-19 ช่วงหลายเดือนก่อน ก็ยังมีโลโก้ของบริษัทดังกล่าวปรากฎอยู่ด้วย
18.) สารพัดความโยงใยดังกล่าว นำมาสู่การตั้งคำถามของโรมว่า “ชัยวุฒิรับตำแหน่ง รมว.ดิจิทัลฯ เพื่อใคร..เพื่อประชาชน..หรือเพื่อพวกพรรคตัวเอง” ทั้งจากความพยายามในการล้มคดีระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ กับ บ.ไทยคม มีพฤติกรรมคล้ายทำสัญญาสัมปทานจำแลง คือให้ บ.ไทยคมได้มาบริหารจัดการดาวเทียมไทยคมต่อ ทั้งๆ ที่สิ้นสุดสัญญาสัมปทานไปแล้ว
“ปัญหาการกินรวบที่เกิดจากกลุ่มทุน เราอาจจะเปรียบเปรยว่าแทบไม่แตกต่างกับ ‘ปรสิต’ ที่กัดกินสังคมไทยไม่ให้พัฒนา ด้านหนึ่งกลุ่มทุนเหล่านี้กำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตนเอง ผ่านการจ่ายเงินให้ฝ่ายการเมืองออกนโยบายเอื้อประโยชน์แก่ตัวเอง หรือส่งพรรคพวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล เพื่อให้มั่นใจว่า จะผูกขาดทรัพยากรต่างๆ ในประเทศได้ต่อไป”
คือคำกล่าวปิดท้ายของ ส.ส.พรรคก้าวไกลรายนี้ ที่ต้องเผชิญกับการประท้วงจกา ส.ส.พปชร.นับสิบครั้ง ตลอดชั่วโมงครึ่งที่ได้ลุกขึ้นนำเสนอข้อมูล
#คำชี้แจงจากผู้ถูกกล่าวหา
19.) หลังการอภิปรายของโรม ชัยวุฒิก็ลุกขึ้นตอบคำถามทันควัน โดยเขาเล่าประวัติการศึกษาและการทำงานของตัวเอง เพื่อยืนยันว่ามี ‘คุณสมบัติ’ เพียงพอ ในการถูกเสนอชื่อให้เป็น รมว.ดิจิทัลฯ และไม่เคยมีประเด็นเรื่องทุจริตคดโกงมาก่อน
“การที่เราเคยทำงานที่ใดที่หนึ่ง แล้วมีคนเชื่อมโยงว่า เอื้อประโยชน์ให้บริษัทนั้น ผมก็ต้องชี้แจง ที่กล่าวหาว่า ผมอยู่ใน ‘ระบอบปรสิต’ ผมก็ต้องบอกว่า ผมไม่ใช่คนอย่างที่คุณคิด”
20.) เขายังตอบโต้ว่า ผู้อภิปรายไม่เข้าใจ ‘ธุรกิจดาวเทียม’ ที่โดนผูกขาดโดย บ.ไทยคม มาตลอด 30 ปี การจะหาผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย กสทช.เคยเปิดประมูลวงโคจรดาวเทียม ปรากฎว่ามีผู้มายื่นซองเพียงรายเดียว คือ บ.ไทยคม จนสุดท้ายต้องยกเลิกการประมูล “ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจเฉพาะมาก ไม่ใช่อย่างที่พูดว่าจะให้แข่งขันเสรี”
21.) ชัยวุฒิยังบอกว่า การส่งมอบทรัพย์สินมาให้กระทรวงดิจิทัลฯ หลังสิ้นสุดอายุสัมปทานก็มอบมาให้แค่สถานีควบคุมดาวเทียม แต่ไม่ได้ส่งมอบเรื่องการเชื่อมต่อหรือการส่งสัญญาณมาด้วย บางอย่างเราต้องอาศัย บ.ไทยคม โดยที่สำคัญคือ ลูกค้าของดาวเทียมไทยคม 4 กว่า 87% เป็นลูกค้าต่างชาติ ซึ่ง NT ยังเป็นบริษัทใหม่ ไม่มีศักยภาพจะไปประสานงานให้ทำธุรกิจได้ต่อเนื่อง เช่นเดียวกับดาวเทียมไทยคม 6 ที่แม้ลูกค้าส่วนใหญ่ 66% จะอยู่ในประเทศ ที่ทราบมาว่า NT จะดำเนินการเอง แต่ที่เหลือ 34% อยู่ต่างประเทศ ก็ยังต้องให้ บ.ไทยคมช่วยเหลืออยู่ดี
22.) รมว.ดิจิทัลฯ ยืนยันว่าการดำเนินธุรกิจของ NT ไม่ได้เอื้อประโยชน์กับ บ.ไทยคม นโยบายของตนคือผู้ใช้บริการจะได้รับบริการอย่างต่อเนื่อง จะไม่มีจอดำหรือได้รับผลกระทบแน่ อะไรทำเองได้ ทำเอง อะไรร่วมมือกับ บ.ไทยคมได้ ก็ต้องร่วมมือ ที่สำคัญคือคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ให้เสียค่าบริการที่แพงกว่าเดิม
23.) ส่วนเรื่องอนุญาโตฯ ชัยวุฒิปฏิเสธว่า ไม่รู้จักสักชื่อที่โรมอภิปรายมา เพราะส่วนใหญ่เป็นอัยการ โดยตนมีหน้าที่แค่ว่า เมื่อมีอนุญาโตฯ ลาออก ก็ทำหนังสือไปยัง อสส.ให้ส่งคนใหม่มา กระบวนการทั้งหมดเป็นเรื่องของ อสส.จริงๆ เราต้องให้เกียรติเขา
24.) ทั้งหมดนี้ คือคำอภิปรายไม่ไว้วางใจ ‘ทะลุเพดาน’ ของโรม และคำชี้แจงจากชัยวุฒิ รมว.ดิจิทัลฯ หนึ่งใน 6 รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบล่าสุด
#Recap #Politics #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #TheMATTER