เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ลิ้มรสไอติมในตำนาน ที่เสิร์ฟความอร่อยถึงหน้าบ้าน มานานหลายทศวรรษอย่าง ‘ไผ่ทอง’ ไอติมที่แม้จะโตขึ้นมา เวลาเห็นรถเข็นสีเขียวๆ วิ่งมาแต่ไกล เราก็ยังชะเง้อหา หลายครั้งก็โบกมือเรียก
ล่าสุด ไผ่ทอง ไอสกรีม กลายเป็นจุดสนใจอีกครั้ง หลังลุงคนขายรายหนึ่งถูกสำนักงานเขตดินแดงยึดอุปกรณ์ทำมาหากิน โดยให้เหตุผลว่า ฝ่าฝืนข้อปฏิบัติการขาย และได้เตือนไปหลายครั้งแล้ว ซึ่งต่อมาทางแอดมิน ‘ไผ่ทองไอสครีม Paithong Ice Cream’ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กเพจ เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ระบุว่า
“เนื่องจากธุรกิจขายเร่เป็นอาชีพเก่าแก่ของโลกและของคนไทย พ่อค้าแม่ค้าธุรกิจนี้ส่วนใหญ่เป็นคนตัวเล็กที่มีเงินลงทุนไม่มาก จึงไม่ได้มีเงินพอสำหรับการเช่าร้านหรือพื้นที่ในการขาย จำเป็นที่ต้องออกขายไปตามแหล่งต่างๆ ที่อาจขัดกับระเบียบกฎหมายบ้านเมือง แอดมินในนามตัวแทนของไผ่ทองไอสครีม กราบขออภัย ทาง เจ้าหน้าที่เขตดินแดง สำหรับการขายเร่ของพ่อค้าไผ่ทองที่ขัดกับการ พ.ร.บ. และการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เขต และทางไผ่ทองไอสครีมจะทำการแจ้งต่อศูนย์ทุกศูนย์ให้ดูแลและระวังในเรื่องนี้
ปล. สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ. ที่ทางเขตแจ้ง มาตรา 20 ห้ามมิให้ผู้ใดปรุงอาหาร ขาย หรือจำหน่ายสินค้าบนถนนหรือในสถานสาธารณะนั้นแอดขอแจ้งว่า ไอศครีมของไผ่ทอง ไม่ได้ทำการปรุงในที่สาธารณะสามารถตักขายได้เลย”
ซึ่งกระแสโซเชียลมีเดีย เข้ามาให้กำลังใจทางแบรนด์เป็นจำนวนมาก โดยหลายคอมเมนต์เขียนไปในทิศทางว่า หาบเร่แผงลอยคือหนึ่งในวัฒนธรรมอาหารการกินของไทยไปแล้ว และไผ่ทองก็เป็นไอติมที่โตคู่กับคนไทยมานานแสนนาน
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ‘ไผ่ทอง ไอสครีม’ อยู่ในกระแสข่าว เพราะไอติมในตำนานเจ้านี้เป็นกระแสสังคมที่ทำให้หลายคนทั่วประเทศเข้ามาถกเถียงกันเอาเป็นเอาตายหลายครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งการที่คนไทยให้ความสนใจกับเคสข่าวไผ่ทองในทุกครั้ง ก็คงบอกเล่าได้แง่หนึ่งว่า พวกเขามีความทรงจำหรือความผูกพันกับแบรนด์ไอติมที่เร่ขายไปตามตรอกซอกซอยไม่มากก็น้อย
ย้อนกลับไปราว 64 ปีที่แล้ว ‘ไผ่ทอง ไอสครีม’ ถือกำเนิดขึ้นโดย กิมเซ้ง และน้ายเฮียง แซ่ซี โดยกิมเซ้งเคยเป็นพนักงานขายไอศกรีมของโรงงานแห่งหนึ่ง เขาทำงานไปและรู้สึกว่า รสชาติของไอศกรีมที่ออกมาจากโรงงานนั้นไม่คงที่ในแต่ละวัน จึงแจ้งเจ้าของ แต่กลับโดนต่อว่าว่าเป็นแค่คนขายจะไปรู้อะไร กิมเซ้งจึงตัดสินใจลาออกมาทำ ‘ไอติมกะทิสด’ ของตัวเอง ตอนแรกใช้ชื่อแบรนด์ ‘หมีบิน’ พอขายดีจึงเปิดโรงงานขายในจำนวนที่มากขึ้น และได้ปรับมาเป็นโลโก้รูปไผ่ (เพื่อความศิริมงคลตามความเชื่อคนจีน) จนกลายเป็นไผ่ทอง ไอสครีม แบบทุกวันนี้ โดยเริ่มแรกทำเป็นธุรกิจครอบครัว พ่อ แม่ และลูกๆ 8 คน
เคยมีข้อถกเถียงกันว่าทำไมต้อง ‘ไอสครีม’ และใช้ ส.เสือ — ทางไผ่ทองเคยออกมาให้เหตุผล เพราะอยากให้ ‘แตกต่าง’ น่าสนใจจากแบรนด์อื่นๆ
จากนั้น บริษัทผลิตไอศกรีมภายใต้ชื่อ หจก.ไผ่ทองซีกิมเอ็ง ก็ได้จดทะเบียนเมื่อปี พ.ศ.2541 โดยมีทุนจด 7.5 ล้านบาท และ ‘น้ายเฮียง’ เป็นผู้ถือหุ้นหลัก ซึ่งก็ถือว่าเป็นกิจการครอบครัวที่เติบโตได้ดี โดยเมื่อดูรายได้ พ.ศ.2560 ไผ่ทองซีกิมเอ็งทำเงินมากถึง 75 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แบรนด์ไผ่ทองเคยมีข้อถกเถียงเมื่อราว 3-4 ปีที่แล้ว เพราะไอติมรถเข็นที่เราเห็นผ่านหน้าบ้านเป็นประจำ มีทั้งแบรนด์ ‘ไผ่ทอง ไอสครีม’ และ ‘ไผ่ทอง ไอศกรีม’ ซึ่งแบรนด์แรก ได้ฟ้องร้องแบรนด์ที่สองว่าเป็นของปลอม แต่ปรากฏว่าการเคลียร์ข้อสงสัยในครั้งนั้นโดยหนึ่งในสมาชิกครอบครัว ทำให้เหมือนจะได้ข้อสรุปกลายๆ ว่า ทั้งสองแบรนด์ เป็นแบรนด์ ‘แท้’ เหมือนกัน เพราะคนทำธุรกิจก็เป็นเลือดตระกูลเดียวกัน (แต่จะแท้ไม่แท้ก็สุดแท้แล้วแต่จะมุมมองใคร)
โดย บุญชัย ชัยผาติกุล เจ้าของกิจการไผ่ทอง ไอศครีม (บริษัท ไผ่ทอง ไอศกรีม จำกัด) ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับเส้นทางเศรษฐีในปี พ.ศ. 2561 ว่า ตนมีพี่น้องทั้งหมด 8 คน ผู้ชาย 2 คน ผู้หญิง 6 คน
บุญชัยเป็นลูกคนที่ 6 และเป็นน้องชายคนเล็ก โดยตามธรรมเนียมจีน พ่อแม่จะแบ่งสมบัติ ประเภท บ้าน ที่ดิน โรงงาน ให้กับลูกผู้ชาย ส่วนสมบัติเงินทองจะแบ่งให้ลูกผู้หญิง อย่างไรก็ตามราว 40 ปีก่อน คุณพ่อแบ่งมรดกให้ลูกชายทั้ง 2 คน โดยพี่ชายคนโตไม่เลือกธุรกิจไอติม เพราะมองว่าหนักและเหนื่อย ทำงานตี 4 ถึงเที่ยงคืน แถมตอนนั้นโรงงานยังเป็นบ้านเช่าแถวเจริญรัถ ขณะนั้นบุญชัยอายุ 17-18 ปี เลยรับแบรนด์ไอติมมาดูแล และดันทำจนขายดี ซึ่งคุณพ่อของเขาเห็นว่าธุรกิจโตขึ้น ควรขยายโรงงาน จึงไปซื้อที่แถวสะพานขาว เปิดโรงงานเพิ่ม แล้วให้จดทะเบียนเป็นชื่อของพี่สาว เพราะบุญชัยในตอนนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ต่อมามีการซื้อคืน และใส่ชื่อบุญชัยให้เป็นเจ้าของโรงงาน ‘ไผ่ทอง ไอศครีม’ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2530
อย่างไรก็ตาม จุดพลิกผันเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ.2538 เพราะพี่ชายคนโตทำธุรกิจอื่นไม่สำเร็จ ซึ่งครอบครัวคนจีนให้ความสำคัญกับลูกชายคนโตมาก คุณแม่ (น้ายเฮียง) เลยมาเอากิจการไอติมจากบุญชัยคืน ซึ่งบุญชัยไม่ยอมจนเกิดความขัดแย้ง และต้องออกจากบ้านไปตั้งตัวเอง จนสุดท้ายเริ่มตั้งตัวได้มีเงินทุน จึงกลับรับไอติมจากที่บ้านมาขาย
“ทางเขาก็รู้ว่าผมซื้อไอติมไปขาย แต่ตอนนั้นมองว่าเป็นแค่เจ้าเล็ก ไม่ใช่คู่แข่ง ยังไม่ได้อะไร ผมก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย กระทั่งปี พ.ศ.2549 มีเงินพอเปิดโรงงานเล็กๆ และเติบโตมาถึงปัจจุบัน แต่สุดท้ายก็มีเรื่องฟ้องร้องกันอย่างที่ตกเป็นข่าว” บุญชัย ให้สัมภาษณ์ และบอกด้วยว่าที่เขาเลือกทำไอศกรีมต่อ เพราะไอศกรีมคือธุรกิจของพ่อ ที่กลายเป็นจิตวิญญาณของเขาไปแล้ว
โดยเขาเผยว่าสูตรไอศกรีมดั้งเดิมของพ่อ เป็นไอศกรีมกะทิที่ใช้แป้งมันผสมกับน้ำแล้วนำมาผสมกับกะทิอีกที ซึ่งตัวของเขาคลุกคลีในโรงงานมาตั้งแต่เด็ก จึงเชี่ยวชาญกับการผลิต และได้คิดสูตรใหม่ เป็นการฟิวชั่นสูตรระหว่างไอศกรีมไทยกับไอศกรีมฝรั่งเข้าด้วยกัน เขาสรุปว่า ‘ตัวเขาเองที่เป็นคนคิดสูตรไอศกรีมไผ่ทองยุคปัจจุบัน’
“ถ้าถามว่าทุกวันนี้เจ้าไหนเป็นของแท้ บอกได้ว่าเป็นของแท้ทั้งคู่ เพราะสูตรไอติมนั้นเป็นสูตรเดียวกัน ตอนแม่ยึดโรงงานไป ก็เอาไปทั้งคนงาน ทั้งสูตรทำนั่นแหละ” บุญชัยบอก
ขณะที่เสียงจากฟาก ส.เสือ ‘ไผ่ทองไอสครีม’ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เช่นกันในตอนนั้นว่า บุญชัยได้ออกจากบ้านไปทำธุรกิจของตัวเองตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 แล้วไม่ได้ติดต่อกับที่บ้าน แต่มาทราบภายหลังว่าไปทำไอศกรีมของตัวเอง ใช้ชื่อ ‘ไผ่ทองไอศครีม’ และมีโลโก้คล้ายคลึงกัน แต่มีลูกค้ามาร้องเรียนเรื่องคุณภาพ ทำให้น้ายเฮียง (แม่) ตัดสินใจฟ้องลูกชายของตัวเองในที่สุด ซึ่งในปี พ.ศ. 2563 ศาลชั้นต้นตัดสินให้ฝ่ายน้ายเฮียง ได้สิทธิ์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า ‘ไผ่ทองไอสครีม’ ทั่วประเทศ
ก็คงเป็นอีกเคสเรียกได้ว่ากงสีเดือด เลือดข้นคนจาง แต่ไม่ว่าข้อพิพาทนี้จะมีบทสรุปอย่างไร ที่มั่นใจได้แน่ๆ ก็คือว่า ไอศกรีม หรือไอสกรีมไผ่ทอง ก็ยังนั่งในใจคนไทยทุกรุ่นอย่างเหนียวแน่นอยู่ดี
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000092862
https://www.facebook.com/PaithongIcecream/photos/a.306368939469666/3928634197243104/?type=3
https://www.sanook.com/campus/1405028/
https://www.billionway.co/paithong-paithong-ice-cream-vs…/
https://www.posttoday.com/economy/news/626641
#Brief #business #TheMATTER